รีวิว Fast & Furious 9 F9 เร็ว แรงทะลุนรก 9 (2021)
ผู้กำกับ: Justin Lin
ค่าย: Universal Pictures

และในปีนี้ ซึ่งครบรอบ 20 ปีของแฟรนไชส์ Fast & Furious ภาพยนตร์ภาคที่ 9 ในซีรีส์ (ไม่นับภาคสปินออฟอย่าง Hobbs & Shaw) ก็ฉายอย่างเป็นทางการในชื่อ Fast & Furious 9 The Fast Saga หรือเรียกย่อ ๆ ว่า F9 เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของไทยเมื่อกลางเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีชื่อฉบับภาษาไทยว่า เร็ว แรงทะลุนรก หนังบู๊สุดมันส์ ติดตามชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์

คอหนังแอกชันที่ติดตามภาพยนตร์ซีรีส์ Fast & Furious มาตั้งแต่ภาคแรกคงรู้ดีว่า หนังชุดนี้เริ่มต้นในฐานะเรื่องแนวจารชนขับรถไล่ล่ากันบนท้องถนนแบบธรรมด๊าธรรมดาใน The Fast and the Furious (2001) ก่อนจะค่อย ๆ วิวัฒนาการมาเป็นหนังกึ่งซูเปอร์ฮีโรกึ่งยอดสายลับที่จำเป็นต้องมีฉากขับรถไล่ล่ากันเอาไว้ในเรื่อง ไม่อย่างนั้นถือว่าผิดคอนเสปต์

รีวิว Fast & Furious 9-1

ถ้าภาคที่ผ่าน ๆ มาถือว่าหลุดโลกแล้ว ภาคนี้หลุดยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ทะลุนรกภูมิตามชื่อหนังภาษาไทย แต่หลุดออกไปอวกาศได้เลย

เนื้อเรื่องคร่าว ๆ มีอยู่ว่า มีผู้ร้ายกลุ่มใหม่ต้องการขโมยอุปกรณ์สุดล้ำที่จะช่วยให้แฮกระบบคอมพิวเตอร์และอาวุธยุทโธปกรณ์ทั่วโลกได้ ทำให้พระเอกหน้านิ่งตลอดกาลอย่างดอม โทเรตโต (รับบทโดย Vin Diesel) ต้องละทิ้งชีวิตสโลว์ไลฟ์กับลูกชายตัวน้อยและภรรยาใหม่อย่างเลตตี (รับบทโดย Michelle Rodriguez) เพื่อรวมกลุ่มกับก๊วนนักซิ่งหน้าเดิม ปฏิบัติภารกิจกู้โลกและเอาชนะผู้ร้ายให้ได้

แต่บังเอิญเหลือเกินว่า หนึ่งในตัวร้ายหลักประจำภาคนี้คือ เจคอบ โทเรตโต (รับบทโดย John Cena) น้องชายแท้ ๆ ของดอม ซึ่งไม่เพียงมีสกิลซิ่งรถแรงทะลุนรกเหมือนพี่ แต่ยังเป็นยอดมนุษย์ในคราบคนธรรมดาที่ออกปฏิบัติการด้วยอุปกรณ์สายลับสุดไฮเทคไม่แพ้เจมส์ บอนด์ ทำให้ดอมและพรรคพวกประสบความยากลำบากมิใช่น้อย

รีวิว Fast & Furious 9-1

ณ ขณะทำภารกิจ พวกเขาได้รู้ว่า หนึ่งในตัวปัญหาสำคัญคือ Jakob น้องชายแท้ ๆ ของ Dom และพี่ชายแท้ ๆ ของ Mia ที่หนังไม่เคยเมนชั่นถึงมาก่อน tree ของ ร่วมมือกับ Otto ลูกเศรษฐีเผด็จการ และ Cipher ตัวแม่คนเดิมจากภาคที่แล้ว แล้วพอ Mia รู้เรื่อง Jakob เธอก็ขอมาร่วมทีมช่วยอีกแรง

และเพื่อชดเชยที่หนังไม่เคยพูดถึง Jakob มาก่อน หนังก็พาเราย้อนไปอดีตของ Dom ตั้งแต่ปี 1989 ซึ่งเป็นปีที่สามพี่น้องต้องสูญเสียพ่อ และเป็นจุดแตกหักของ Dom กับ Jakob โดยใช้นักแสดงคนละคนทั้งหมด ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีดึงหน้าเหมือน Nick Fury ใน Captain Marvel แต่อย่างใด

ในตัวอย่างหนัง Fast & Furious 9 The Fast Saga เร็ว แรงทะลุนรก 9 ภาคนี้มีฉากหนึ่งที่แทบจะเป็นบทสรุปของหนังภาคนี้ได้เลยนั่นคือ ฉากที่ดอมและเล็ตตี้ขับรถหนีการไล่ล่าของทหารในป่า และเมื่อมาถึงสะพานแขวนข้ามเหวปรากฏว่าสะพานได้ขาดไปก่อนแล้วจากการหลบหนีอันทุลักทุเลของพวกโรมันและเท็จ และดอมได้ตัดสินใจขับชนคอสะพานที่เหลือและใช้ล้อเกี่ยวกับลวดสลิงที่เหลืออยู่หนึ่งเส้นเหวี่ยงตัวรถข้ามเหวหนีตายไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน แม้รถจะหมุนคว่ำพลิกไปหลายตลบก็ตาม

รีวิว Fast & Furious 9-3

รีวิว Fast & Furious 9 มาเจาะจุดเด่นจุดด้อยกัน

หนังภาคนี้ก็ไม่ต่างกัน มันคือความพยายามหนีข้ามการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอันน่าทุลักทุเล โดยใช้พลังความเป็นพระเอกแบบไร้เหตุผลและพลังซีจีอีกมหาศาลที่คงเหลือแค่เอามาทำตัวละครเล่นแทนคนแสดงจริง เราก็คงเรียกว่าหนังการ์ตูนพิกซาร์ได้เต็มปาก มาแถผ่านอุปสรรคไปแบบน่าจะตื่นเต้นแต่ก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นอีกแล้ว เพื่อเชื่อมไปภาคถัดไปอย่างเท่ ๆ ไร้รอยขีดข่วนหรือแม้แต่ทิ้งความรู้สึกผิดเป็นแผลใจให้ตัวละครนำสักนิดก็ยังไม่มี

  • แต่ก็อย่างว่า Fast & Furious เป็นหนังเน้นรถ และความเว่อร์วังเหนือกฎฟิสิกส์ ไม่ได้เน้นการแสดงหรือตัวบทแต่อย่างใดมาแต่ไหนแต่ไร นักแสดงคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้แสดงดีอะไรสักคน ยกเว้นตัวละคร Roman

  • ที่ยังมีซีนเล่นมุกตลกมาขโมยซีนหรือเพิ่มสีสันอยู่เรื่อย ๆ แล้วก็ตัวพ่อตัวแม่แห่งวงการที่มาช่วยดึงมีน overall performance ของแฟรนไชส์ภาคแล้วภาคเล่า อย่าง Kurt Russell กับ Helen Mirren ก็ได้ออกกันคนละซีนสองซีน โดยความพิเศษของภาคนี้คือ เราจะได้เห็น Helen Mirren ในวัย 76 ปี ซิ่งรถซูเปอร์คาร์กลางกรุงลอนดอน ดูหนังออนไลน์

  • ตอนที่เราบอกว่า เราเลิกคาดหวัง “ความสมเหตุสมผล” ของแฟรนไชส์ Fast & Furious ไปนานแล้ว เราหมายถึง เรายอมรับได้ถ้าฉากแอ็คชั่นซิ่งรถทั้งหลายจะเวอร์วังเกินจริง หรือขัดต่อ “หลักการฟิสิกส์” กี่ร้อยข้อพันกฎตราบใดที่มันยังตอบโจทย์ความบันเทิงได้อยู่ แต่เราก็ไม่คิดว่า พาร์ทอื่นมันจะเมคเซนส์น้อยลงเรื่อย ๆ ทุกภาค ๆ ขนาดนี้

โดยหากสังเกตต้องบอกว่าหัวเรือใหญ่ทางความคิดที่ทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นที่นิยมนอกจากดีเซลและลินแล้ว ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือวิสัยทัศน์ของ คริส มอร์แกน (Chris Morgan) มือเขียนบทที่ปั้นหนังมาตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 8 และอิ่มตัวทางความคิดสร้างสรรค์จนขอออกไปทำสปินออฟใน Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) ซึ่งก็เป็นตัวเทียบที่ดีกับหนังภาค 9 นี้เหมือนกัน

ในขณะที่มอร์แกนกลับตัวทันและเลือกไปหามุมมองใหม่ ๆ และจับเอกลักษณ์ตัวละครที่ยังหน้าไม่ช้ำ อย่าง ฮอบบ์ส และ ชอว์ มาทำหนังคู่หูที่โคตรคอนทราสต์แต่ก็ยังมีมุมโคตรฮาโคตรมัน และแม้จะมีกลิ่นความโม้แบบจัดเต็ม แต่มันก็ยังให้ความบันเทิงกับผู้ชมได้และยังยืนพื้นในความสมจริงตามเซ็ตติ้งใหม่ของหนังที่โม้มาแต่เริ่มอย่างตัวร้ายที่เป็นซูเปอร์โซลเยอร์ได้ลงตัว ดูหนังออนไลน์

จอห์น ซีน่า (John Cena) ก็ยังไม่ใช่คนที่จะมาชดเชยได้พอ ยิ่งตัวร้ายใหม่อย่าง ออตโต ก็หาเสน่ห์ยังไม่เจอ แล้วตัวร้ายสุดเท่แบบไซเฟอร์ของ ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) ก็มาน้อยไปมากบนจอเหมือนรอไปเล่นภาคต่อมากกว่าจะมีบทจริงจัง ใด ๆ ที่ว่ามาคงเรียกว่าหนังขาดเสน่ห์ไปอย่างสมบูรณ์ทั้งการใช้ของเก่า และการคิดของใหม่

หนังเรื่องนี้ดีกว่าภาคเก่าๆไหม

คงไม่ผิดถ้าจะเปรียบหนังภาค 9 นี้ว่าไม่ต่างจากสะพานเชื่อมโยงเรื่องราวมหากาพย์ Fast & Furious ไปสู่ตอนจบ แถมเป็นสะพานที่ตัวละครต้องใช้ทักษะเหนือมนุษย์พยายามข้ามไปให้พ้น คล้ายฉากพระเอกเหวี่ยงรถข้ามเหว (บางที นี่อาจเป็นสาเหตุที่ค่ายหนังเลือกฉากนี้มาใส่เทรลเลอร์ก็เป็นได้)

ข้อดีของหนังเรื่องนี้ที่อยากเชิญชวนให้ชมคือ ฉากแอ็กชั่นเบอร์ใหญ่อย่างนี้ ดูในโรงจะได้พลังจอ พลังเสียงมาขับความยิ่งใหญ่ได้ดีที่สุดเท่านั้นจริง ๆ ส่วนตัวหนังสำหรับแฟนก็ควรดูนะเพื่อจะได้ไปสานต่อกับภาคจบได้เข้าใจ แต่คอหนังทั่วไปก็สุดแล้วแต่ปัจจัยแต่ละคนครับ

สรุปโดยรวมแล้ว
– ความเว่อวังก็สไตล์ตระกูล Fast ครับ ไม่เสื่อมถอย ดำเนินเรื่องไวมากๆ
– Wow ที่สุด 1 ฉาก คือมันมาถึงจุดนี้แล้ว หนังภาคหน้าคงต้องไปทะลุจักรวาลกันจริงๆแน่ๆ
– ตัวละครสมทบทุกตัวมีบทเด่นบทจำของตัวเองทุกคนมากขึ้น
– ฉากแข่งรถยังมีอยู่นะ

หากชอบบทความนี้สามารถติดตาม รีวิวหนัง สปอยหนัง ได้ที่ สปอยหนังดี

 

ใส่ความเห็น