สปอยหนัง Dune
Dune เล่าเรื่อง พอล อะเทรดิส อัจฉริยะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว หลังถูกรุกรานโดยกองกำลังวายร้ายหน้าเลือดที่หวังแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งสามารถใช้ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติออกมาได้ และมีเพียงผู้ที่สามารถเอาชนะความกลัวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอดในศึกครั้งนี้ ดูหนัง
เนื้อเรื่องฉบับนิยาย : เมื่อจักรพรรดิพาดิชา ผู้นำสูงสุดของเหล่าดวงดาว มีบัญชาให้ดยุคเลโท อะเทรดีส เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์สละดาวคาลาดานที่ตระกูลอะเทรดีสของเขาปกครองมานานเพื่อไปครองบัลลังก์บนดาวดวงใหม่ที่ชื่ออาร์ราคิส หรือที่รู้จักในนาม “ดูน” ดาวแห่งทะเลทราย ดยุคเลโทจำใจต้องทำตามบัญชา
แม้ว่าดาวอาร์ราคิสจะเป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาลอย่าง “สไปซ์” ที่อาจสร้างความมั่งคั่งให้กับตระกูลอะเทรดีสและประชาชนของเขา แต่ดยุคเลโทรู้ดีว่าคำสั่งย้ายไปครองดาวอาร์ราคิสครั้งนี้ต้องเป็นแผนร้ายของบารอนวลาดิเมียร์ ฮาร์คอนเนน แห่งตระกูลฮาร์คอนเนน ศัตรูคู่แค้น เขารู้ว่าจะต้องมีกับดักบางอย่าง และต้องเป็นกับดักที่อันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เนื้อเรื่องฉบับภาพยนตร์ : พอล อาร์เทรดีส อัจฉริยะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความอยู่รอดและอนาคตของครอบครัวรวมถึงผู้คนของเขา หลังถูกรุกรานโดยกองกำลังวายร้ายหน้าเลือดที่หวังแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งสามารถใช้ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติออกมาได้ และมีเพียงผู้ที่สามารถเอาชนะความกลัวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอดในศึกครั้งนี้ สามารถรับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์
Dune เป็นหนังที่องค์ประกอบของตัวละครที่ค่อนข้างเยอะ แม้ว่าหนังจะกินเวลาไปนานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็อาจจะทำให้คนดูจดจำตัวละครรองอื่นๆ ยังไม่ค่อยจะได้ ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าคำศัพท์และชื่อเรียกต่างๆ ในหนังเป็นศัพท์ภาษานิยายไซไฟล้วนๆ ไหนจะชื่อเรียกของวัตถุนั้น บัญญัติศัพท์ของวัฒนธรรมนี้ กลายเป็นคำแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้ชมอาจจะยังเข้าไม่ถึงได้ เป็นจุดด้อยจุดหนึ่งในหนัง
สปอยหนัง Dune อะไรบ้างที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ
หนังเรื่องนี้เราอยากจะเริ่มต้นด้วยการให้คะแนนเต็ม 10 เอาไว้ก่อน โดยหลังจากนี้จะมาไล่เรียงและตัดคะแนนกันไปทีละส่วนๆ กันดูว่า Dune จะยังสมบูรณ์แบบเพียงพอกับการเป็นมหากาพย์หนังไซไฟเรื่องใหม่ให้กับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ได้หรือไม่ เริ่มต้นจากงานสร้างที่ต้องพูดถึงเป็นลำดับแรก เพราะงานโปรดักชั่นดีไซน์ในเรื่องนี้คือยอดเยี่ยมจริงๆ หลายองค์ประกอบเห็นได้ถึงความใส่ใจในรายละเอียด แม้ว่าจะเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษปะปนอยู่เต็มไปหมดก็ตาม
การออกแบบดาวดวงต่างๆ ภูมิประเทศของดาวแต่ละดวง ค่อนข้างทำได้ดี ขณะที่องค์ประกอบฉากต่างๆ ในหนังกว่าร้อยละ 80 เปิดเผยถึงความยิ่งใหญ่อลังการได้สมศักดิ์ คนดูต้องรู้สึกว้าวกับหลายรายละเอียดที่ผู้สร้างใส่เข้ามาอย่างบรรจง การจัดแสงและใช้โทนสีในหนังทำได้ค่อนข้างดี เช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านมุมกล้องและมุมภาพก็ทำได้น่าพอใจ สร้างบรรยากาศโดยรวมมัดใจผู้ชมได้อยู่ ถึงขนาดนี้ความแห้งแล้งของดาวอาร์ราคิส ยังทำให้รู้สึกกระหายน้ำและคอแห้งได้เลย
เดอนี วีลเนิฟว์” ยังคงมอบประสบการณ์การดูหนังแบบใหม่ๆ ให้กับผู้ชมได้อยู่ ขณะที่มุมมองของ “เกร็ก เฟรเซอร์” ผู้กำกับภาพในหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าทำออกมาได้เข้าขั้นสมบูรณ์แบบ องค์ประกอบส่วนนี้แทบไม่มีอะไรให้ตัดคะแนนเลย ทุกฉากและทุกสถานที่ในหนังเรื่องนี้ ได้ทำการเซ็ตออกมาเป็นอย่างดี แม้ว่าอาจจะมองเป็นเหมือนโรงลิเกไซไฟย่อมๆ ได้อยู่บ้างก็ตาม แต่หลายๆ ส่วนทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ
มาถึงฝั่งนักแสดงใน Dune ที่ขนมาเป็นกองทัพและก็เล่นใหญ่เล่นดีกันทุกคาแรกเตอร์จริงๆ ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ “ทิโมธี ชาลาเมต์” ที่เรื่องนี้เขาเป็นตัวละครที่แบกรับหนังใหญ่ๆ ทั้งเรื่องเอาไว้ด้วยมสารีระหนุ่มร่างบาง แต่กระนั้นเอาก็แบกมันเอาไว้ได้แบบตลอดรอดฝั่งอยู่ ทั้งอินเนอร์และพรสวรรค์ทางการแสดงของเขาถูกนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นนักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ที่ฝีมือจัดจ้านไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเฉพาะกับซีนอารมณ์ที่ต้องเล่นกับตัวเอง ทำให้ผู้ชมขนลุกได้สุดๆ
นักแสดงสมทบคนอื่นก็ถือว่ามีบทบาทไม่น้อยหน้า เพราะหนังก็สร้างมิติที่น่าสนใจให้กับพวกเขาเอาไว้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น “รีเบ็กก้า ฟูเกอร์สัน” กับบทแม่ที่ค่อนข้างน่าสนใจอยู่ไม่น้อย หรือจะเป็น “ออสการ์ ไอแซก”, “จอช โบรลิน”, “เจสัน โมโมอา”, “สเตลแลน สการ์สการ์ด” หรือ “เซนดายา” ล้วนแต่เป็นคาแรกเตอร์ที่มีความเฉพาะตัวในแบบตัวเอง และบทได้ส่งเสริมความน่าค้นหาให้กับตัวละครของพวกเขา
สำหรับเนื้อหานี้หลายๆคนอาจจะกังวลว่า นิยายมากกว่า 800 กว่าหน้าจะมายัดในเรื่องนี้แล้วคนดูจะต้อง ปูพื้นฐานเยอะไหม ดูยากไหมต้องบอกว่า ง่ายกว่าที่คิดครับเพราะว่าเรื่องนี้จริงๆเป็นเนื้อหาแค่ครึ่งหนึ่งของ นิยายทั้งหมด 800 หน้าเท่านั้นเองครับบอกเลยว่าทำออกมาได้ดี
และเรื่องนี้จึงเน้นไปที่การปูพื้นฐานตัวละคร เชื่อมความสัมพันธ์เป็นหลัก แต่ก็มีการเล่าที่ไม่ได้น่าเบื่อ หรือ เอื่อยแบบที่คิด มีการต่อสู้เข้ามาแทรก การเล่าเรื่องฝั่งอื่นๆเข้ามา ทำให้ทั้งเรื่องสามารถติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเล่าเรื่องเป็น PART 1 เท่านั้นทำให้ตอนจบเองปลายเปิดไปภาคต่อได้ทันทีแบบไม่ต้องสงสัย เป็นหนังที่ เนื้อหาบท อาจจะเน้นปูเรื่องไม่ได้มีจุดพีค หรือหักมุมอะไรมาก แต่ก็เอาคนดูได้อยู่ไม่น่าเบื่อครับอันนี้ถือว่ายาก และทาง Denis Villeneuve ทำได้ดีมาก
เชื่อว่าใครที่ดูหนังจบออกมา ถ้ายังคงอินกับเรื่องราวอยู่ก็น่าจะต้องกลับมาศึกษาค้นคว้าอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Dune เพื่อเป็นการทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกยกใหญ่ เช่นเดียวกับความรู้สึกของผู้เขียน ที่อยากจะทำให้หนังออกสารานุกรมเกี่ยวกับท้องเรื่องนี้ บัญญัติความรู้และศัพท์ต่างๆ ออกมาให้ผู้ทั่วไปได้เข้าใจกันสักหน่อย เพราะบอกตรงๆ ว่าศัพท์แปลกๆ ที่เรียกกันเฉพาะในเรื่อง บางทีก็ยังตามไม่ทันเช่นกัน
Dune ถือว่าหนังท็อปฟอร์มในการเป็นมหากาพย์ไซไฟอย่างเกรียงไกรได้อยู่ เพียงแต่รสชาติอาจจะยังไม่จัดจ้านและตรงตามที่ผู้ชมคาดหวังเอาไว้สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่านี่เป็นเพียงปฐมบทก็พอจะเข้าใจ และเอาใจช่วยให้หนังได้มีโอกาสได้สานต่อในอีกพาร์ต เพราะถ้าไม่มีต่อก็อาจจะรู้สึกโกรธอยู่ไม่น้อย
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Dune
ประเภท: แอคชั่น / ไซไฟ / ผจญภัย
ผู้กำกับ: เดอนี วีลเนิฟว์
นำแสดงโดย: ทิโมธี ชาลาเมต์, รีเบ็กก้า ฟูเกอร์สัน, ออสการ์ ไอแซก, จอช โบรลิน
ความยาว: 156 นาที
กำหนดฉายในไทย: 21 ตุลาคม 2021
รับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์
มาตรฐานของหนังเรื่องนี้อยู่ในระดับไหน
งานภาพ และ เสียง ส่วนตัวเป็นสาวกเรื่อง งานภาพ และเสียงอยู่แล้วต้องบอกตรงๆว่า คือที่สุดในปีนี้แล้วเท่าที่ดูหนังมา และไว้ใจได้ทั้ง งานเสียงจาก ฮานส์ ซิมเมอร์ และ งานภาพจาก Greig Fraser ทั้งคู่เมื่อรวมกันเรียกได้ว่าระดับเทพมาร่วมงานกันคือที่สุดแล้ว โทนของหนัง ซาวด์ไปด้วยกันแบบไม่มีจุดให้บ่น จนแอบหวังให้ถึง OSCARS เลยนะ งานภาพทำโทนสีได้ดีมาก
รวมถึงมุมมอง ดีเทล ความอลังการของฉากที่เน้นใช้งาน CG ให้น้อยที่สุด รวมถึงงานเสียงที่เราคุ้นเคยกันดีในแนวทางแบบนี้จากหนัง BATMAN ตอน NOLAN / INCEPTION / และอีกมากมาย เสียงที่ฟังแล้วขนลุกทุกครั้ง มันมีพลัง ส่งผลต่อหนังและเรื่องนี้ อยากให้ดูใน IMAX เท่านั้นจริงๆครับ
นักแสดงเองนั้นระดับเกรด A ทั้งหมดที่เข้ามาร่วมแสดงทั้ง ทิโมธี ชาลาเมต์ , เซนเดยา, เจสัน โมโมอา, เดฟ บอทิสตา, สเตลแลน สการ์สการ์ด และ อีกมากมายทำให้เรื่องการแสดงเราเองไม่ต้องสงสัยในฝีมือการแสดง จนหลายๆคนอยากให้จัดเต็มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ทั้งเนื้อหา ตัวละครต่างๆนั้นเยอะมาก แต่ก็เข้าใจได้ง่ายไม่งงครับจุดนี้แบ่งได้ดี แต่หลายๆคนอาจจะไปเน้นจัดเต็มกัน ภาค 2 เป็นหลักก็ต้องติดตาม ทำให้การแบ่งช่วงที่ออกมา นำเสนอให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายไม่ แน่นเกิน
ต้องบอกว่ามันเป็นหนังที่ดีมากๆ แต่มันไม่เหมาะกับทุกคน หนังมาพร้อมงานออกแบบสุดอลังการ ไม่ว่าจะเป็นฉาก ยาน เสื้อผ้า ทุกอย่างประณีตและสวยงามและอลังการมากๆ งานกำกับภาพชั้นยอดที่สวยงามทุกฉาก ฝีมือการแสดงอันสุดยอดจากดาราทุกคน และเนื้อเรื่องที่ค่อยๆ บ่มเพื่อรับใช้ตอนจบอย่างสวยงาม มันคืองานคราฟต์ แต่ด้วยความเป็น Denis Villeneuve หนังเต้มไปด้วยฉากที่ทำมาเพื่อโชว์ของ บทพูดที่มักเลือกพูดเป็นนัยยะและซ่อนความหมายจริง จังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบช้าค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีจุดตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ถ้าคุณเป็นซิเนม่าไฟล์ นี่คือหนังที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด มันคือความสุนทรีย์ในการรับชมโดยแท้ แต่ถ้าคุณต้องการความบันเทิง ต้องการความพักผ่อน ต้องการอะไรที่เข้าใจง่าย คุณน่าจะรู้สึกว่ามันไม่สนุก
อย่างที่บอกว่าเพราะว่าเนื้อหาของหนังไม่ได้เข้าใจยาก เพราะเป้าหมายของหนังมีความเป็นการเมืองผสมอยู่สูง มีเรื่องของศาสนาผสมอยู่นิดๆ แต่ภาพรวมมันจะออกรสคล้ายๆ Game of Thrones ผสมกับความอลังการแบบ Star Wars ด้วยตัวนิยายต้นฉบับมันเขียนขึ้นมาในปี 1965 แน่นอนว่ามันก็มีบางอย่างที่โคตรล้ำ และบางอย่างที่แอบเชย แต่พอมันมาอยู่ในมือของ Villeneuve ทุกอย่างออกมาดูดี ยิ่งใหญ่อลังการแบบ Extreme ไม่ดูลิเกจนเกินไป ถ้าทีมงานสร้างฝีมือไม่แน่พออาจจะล่มไม่เป็นท่าก็ได้นะครับ
สรุปแล้ว ผมเชื่อว่าใครที่ดูหนังจบออกมา ถ้ายังคงอินกับเรื่องราวอยู่ก็น่าจะต้องกลับมาศึกษาค้นคว้าอ่านเกี่ยวกับเรื่อง Dune เพื่อเป็นการทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกยกใหญ่ เช่นเดียวกับความรู้สึกของผู้เขียน ที่อยากจะทำให้หนังออกสารานุกรมเกี่ยวกับท้องเรื่องนี้ บัญญัติความรู้และศัพท์ต่างๆ ออกมาให้ผู้ทั่วไปได้เข้าใจกันสักหน่อย เพราะบอกตรงๆ ว่าศัพท์แปลกๆ ที่เรียกกันเฉพาะในเรื่อง บางทีก็ยังตามไม่ทันเช่นกัน
เพราะว่า Dune เป็นหนังที่องค์ประกอบของตัวละครที่ค่อนข้างเยอะ แม้ว่าหนังจะกินเวลาไปนานกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็อาจจะทำให้คนดูจดจำตัวละครรองอื่นๆ ยังไม่ค่อยจะได้ ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าคำศัพท์และชื่อเรียกต่างๆ ในหนังเป็นศัพท์ภาษานิยายไซไฟล้วนๆ ไหนจะชื่อเรียกของวัตถุนั้น บัญญัติศัพท์ของวัฒนธรรมนี้ กลายเป็นคำแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้ชมอาจจะยังเข้าไม่ถึงได้ เป็นจุดด้อยจุดหนึ่งในหนังที่ต้องเสียคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย
มาถึงอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของ Dune ก็ถือบทหนัง ที่คงต้องยอมรับว่าความยาวกว่า 2 ชั่วโมงเศษของเรื่องนี้ แม้จะดูไม่ได้ยาวกับเรื่องราวมากมายที่ต้องถ่ายทอด แต่ก็ยังรู้สึกว่ายาวเกินไปและเยิ่นเย้อเกินจำเป็นไปสักหน่อยอยู่ดี เข้าใจว่าองค์ประกอบในหนังเรื่องนี้มีเยอะมากๆ แต่หนังที่เราได้ชมกันในวันนี้เป็นเป็นเพียงพาร์ทจุดเริ่มต้นเท่านั้น เท่ากับว่าเป็นการปูเรื่องที่ยาวนาน 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่มีทั้งจุดที่น่าเบื่อ ปะปนไปกับน่าตื่นเต้น อย่างลงตัว พอให้อภัยได้
หากคุณชอบบทความนี้ สามารถติดตาม รีวิวหนัง สปอยหนัง เรื่องอื่นๆได้ที่ สปอยหนังดี