รีวิว Life is Beautiful

สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกเช่นเคย กับนายพลรีวิว ซึ่งในวันนี้ ผมจะมารีวิวหนัง สงคราม แต่แอบมีความฟินเลิฟ ที่ช่วยเรียกน้ำตาซึมๆ และทำให้เราได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันบ้าง ไม่ใช่ดีแค่ดราม่าอย่างเดียว กับหนังสงครามที่เกี่ยวกับประเด็นชาวยิวใน สงครามโลกครั้งที่2 รับชมเรื่องราวของครอบครัวชาวยิว บ้านนี้ ได้ที่ ดูหนังออนไลน์

ไม่ต้องถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่สมควรทำ แต่เราเคยเสียสละ และมอบปีกให้ลูกโบยบินแล้วหรือยัง? นี่แหละครับ ยิ้มเข้าไว้ ชีวิตไม่มีสิ้นหวัง

เรื่องนี้เป็นหนังเก่าสัญชาติอิตาลี ออกฉายไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนผมดูครั้งแรกคือยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้เลยว่าชอบและรักหนังเรื่องนี้มากกกกก เหมาะกับคนที่มักมองอะไรเป็นบวกเสมอ ชีวิตผมเวลาเจอเรื่องแย่ๆ ผมมักจะมองบวกเข้าใว้ตลอด บางครั้งเลยถูกเพื่อนๆหาว่าเป็นคนไม่ค่อยจริงจังกับชีวิต อะไรแบบนั้น แต่ก็นะจะคนเราจะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้ พยายามคิดบวกเข้าใว้ มีความสุขกับปัจจุบันให้มากๆ เหมือนเพลงที่พี่ แบ้งค์ ส่งแก้ส ร้องว่า คนเลวคนดีก็เจอเรื่องร้ายแรง จะเครียดทำไม แค่ยิ้มเข้าไว้ เพลงพี่แบงค์ แคลช ลอยมาเลยครับผม เว็บดูหนังฟรี

มนุษย์หลีกเลี่ยงจากสงครามไม่ได้เลยหรือ? นั่นเป็นคำตอบที่ตอบไม่ได้ แต่ว่า อย่างน้อยทั้ง Guido และ Josua ก็ชนะในเกมนั้น ชนะในการมีชีวิตอยู่อย่างงดงาม เรื่องราวของ “กุยโด” ชายหนุ่มผู้ร่าเริง อารมณ์ดี มองโลกในแง่บวก เขาตกหลุมรักคุณครูแสนสวย และได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีลูกชายที่แสนน่ารัก ได้เปิดร้านหนังสือตามที่ฝัน สงคราม แต่ทว่าโรคระบาด พิษเศรษฐกิจ ความเจ็บป่วยเรื้อรัง…เมื่อสถานการณ์แห่งความเจ็บปวดเดินทางมาถึงจุดพีก ที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา เราไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้

 

รีวิว Life is Beautiful-1

 

รีวิว Life is Beautiful เนือเรื่องสุดจิ๊ด แนะนำให้หาดู

เรื่องนี้แม้แต่สงครามก็ Beautiful มีความซอฟต์ มีความคอมเมดีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถ้ามองในแง่ของแก่นเรื่องแล้ว เราชอบนะ สามผ่านเลย ทั้งให้แรงบันดาลใจ ทั้งตั้งคำถามกับสงคราม แต่สำหรับความชอบส่วนตัวเราแล้ว ไม่ใช่หนังที่ประทับใจอย่างที่คิด หนังเนื้อดีโลกสวยเกินไปนิด (ฮา) อาจเพราะเราไม่สามารถมองสงครามในมุมมองของสองพ่อลูกได้จริงๆ

Life is beautiful หนังเล่าถึง “กุยโด” หนุ่มจอมกะล่อนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในอิตาลี ได้ตกหลุมรักหญิงสาวนามว่า “ดอร่า” ต่อมาทั้งคู่ได้อยู่กินกันฉันสามีภรรยาและได้มีสมาชิกครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งหน่อก็คือลูกชายที่หน้าตาน่ารักอย่าง “โจชัว” ทั้ง 3 อยู่กินกันอย่างมีความสุข กุยโด ทำตามความฝันของตัวเองก็คือการเปิดร้านหนังสือเล็กๆแถวๆบ้าน แต่ทว่า ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ทั้งสามคนถูกจับไปอยู่ค่ายกักกันชาวยิว ทำให้ กุยโด ผู้เป็นพ่อต้องสรรหาคำโกหกและสร้างสถานการณ์ต่างๆขึ้นมาเพื่อปกป้องความรู้สึกของ โจชัว ไม่ให้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม

ชายหนุ่มช่างฝัน มองโลกในแง่ดี ที่ฝันจะมีร้านขายหนังสือของตัวเอง ในปี 1939 เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่อเรซโซ และตกหลุมรัก ตอร่า (นิโคเลตต้า บราสชี) ครูสาวแสนสวยทันทีที่เห็น ทั้งคู่ได้แต่งงานกัน และมีลูกชายชื่อ โจซัว (จิออร์จิโอ แคนทารินี่) กุยโดสามารถเปิดร้านหนังสือในฝันได้สำเร็จ แต่ไม่นานเ หตุการณ์ที่โหดร้าย ที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์เรา จะพึงกระทำ ต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยกันได้ กุยโดต้องปกป้อง ภรรยาและลูกชาย จากการกวาด ล้างเผ่าพันธุ์ยิว เมื่อโลกโหดร้าย กว่าที่คาด สถานการณ์กลับ ไม่เป็นอย่างที่คิด

กุยโดต้องใช้จินตนาการ ความรัก และความหวังปกป้องครอบครัวจากความโหดร้ายของสงครามให้ได้ และถึงแม้ว่าอนาคต ข้างหน้า จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังคิดและเชื่ออยู่เสมอว่า “ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม” หน้าพี่ตูนลอยมาแทนครับทีนี้

 

 

ช่วงแรกของหนังจะเป็นการเล่าเรื่องให้เห็นลักษณะนิสัยของ กุยโด ที่มีทั้งความกะล่อน การมองโลกในแง่ดี และการโกหกที่ทำให้คนอื่นมีความสุขและสบายใจเมื่อได้พูดคุยกับเขา สำหรับผมแล้วช่วงแรกคือชอบมาก ยิ้มทุกฉากทุกตอนหลงรักตัวละคร กุยโด มาก คือแบบอยากให้ช่วงเวลานี้มันยืดยาวไปกว่านี้หน่อย เพราะไม่อยากไปเจอความโหดร้ายและจิตตกในพาร์ทหลังของหนัง แต่ เดอะโชว์ มัสโกออน เหตุการณ์ต้องดำเนินต่อไป

ทั้งสามถูกจับไปอยู่ค่ายกักกัน ถ้ามองในมุมที่หนังนำเสนอ จะเห็นถึงความน่ารักที่คนเป็นพ่อจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุขและเจ็บปวดน้อยที่สุด แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริงแล้ว เนื้อหามันหดหู่และเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าโดนภรรยาบีบไข่ตอนกลับบ้านดึกๆซะอีก คือถ้าอินมากๆเนี่ยเราคนดูหนังเรารับรู้ความรู้สึกของ กุยโด

และรู้สถานการณ์ว่ามันเป็นยังไงและจุดจบของตัวละครมันต้องไปอยู่จุดไหน แต่สิ่งที่รับไม่ได้ก็คือความรู้สึกของ เด็กน้อยหอยสังข์อย่าง โจชัว ว่าทำไมแม่งต้องมาเจอกับความโหดร้ายอะไรแบบนี้ด้วยวะ สำหรับผมแล้วชื่นชมคนทำหนังเลยว่า หยิบประเด็นรุนแรงขนาดนี้มาเล่าในมุมมองโลกสวยงามอย่างกะมีม้านิลมังกรวิ่งเล่นเคล้าคลอกับม้าโพนี่ในสวนหลังบ้านได้แบบน่าเหลือเชื่อ

 

 

แต่แล้วช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กุยโดซึ่งเป็นชาวยิวและลูกก็มีเชื้อยิว จึงถูกทหารจับตัวไปค่ายกักกัน ภรรยาเมื่อรู้เหตุการณ์ทั้งหมด จึงขอทหารให้เอาตัวไปในค่ายด้วยทั้งที่ไม่ได้เป็นยิว กุยโดไม่อยากให้ลูกรู้ความจริงว่าทั้งหมดในค่ายนี้มันคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว เลยโกหกลูกว่ามันคือเกมชิงรถถัง ทุกคนกำลังเล่นเกม ใครทำตามกฎระเบียบจะเป็นผู้ชนะและจะได้กลับบ้าน

และในวิกฤตครั้งนี้ที่ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทางเศรษฐกิจและสังคม เปลี่ยนวิถีชีวิตคนบนโลกไปสิ้นเชิง…ท่ามกลางความมืดมิด เราต่างเฝ้ารอจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง ระหว่างนี้ เรามาใช้พลังแห่งความรักและจินตนาการ เป็นแรงผลักดันในการมีชีวิตอยู่ (ฝืน) ยิ้มให้กับชีวิตแม้ในวันที่เข้าตาจน มีความหวังเสมอเพื่อจะพบว่าชีวิตมีแง่มุมที่งดงามซุกซ่อนอยู่เสมอ

 

รีวิว Life is Beautiful-2

 

อะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องพร้อมกวาดรางวัลมากมาย

หนังสัญชาติอิตาลีที่ถ่ายทอดสิ่งที่ชาวยิวต้องเผชิญในค่ายกักกันของนาซีคล้ายอย่างใน Schindler’s List และ The Pianist แต่ต่างกันที่วิธีการเล่าอย่างสิ้นเชิง บอกเล่าเรื่องราวของ Guido ชายผู้พบรักกับหญิงสาวสวยจนทั้งคู่มีลูกด้วยกัน ตลอดครึ่งเรื่องแรกจะเต็มไปด้วยความตลกและน่ารักจริงๆ ยิ้มได้ตลอดเลย แต่พอครึ่งเรื่องหลังยังกับหนังคนละม้วน ถึงแม้จะมีตลกอยู่บ้าง แต่มันยิ้มไม่ออกจริง ๆ มันดราม่า หดหู่และบีบหัวใจสุดๆ ตั้งแต่ครอบครัวโดนเหล่านาซีจับไปค่ายกักกัน ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อไม่อยากให้ลูกต้องรับรู้เหตุการณ์เลวร้ายนี้

เขาจึงเลือกที่จะโกหกลูกด้วยการที่บอกว่านี่คือเกมถ้าใครทำตัวดีปฏิบัติตามทหารจะชนะรางวัลนะ เขาโกหกลูกตลอดเวลาและทำให้ลูกเขายิ้มได้เสมอ มันเป็นการโกหกที่โกรธไม่ลง และความรักที่พ่อมีต่อลูกในเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่จริง ๆ

การที่พ่อหยิบยกเรื่องเกม เรื่องรางวัล มาล่อ ให้ Josua หลงคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในเกม Survival แต่เราก็แอบสงสัยว่าเกมนั้นสื่อถึงการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง (อย่างชื่อหนังว่า Life is beautiful) หรือพยายามจะ Sarcastic กันแน่ เพราะเกมที่ถูกยกมาก็ใช่ว่าจะไม่โหดร้าย มีการคัดออก มีการเอาชนะ มีการแข่งขัน มีผู้แพ้ผู้ชนะ ไม่ต่างจากสงครามย่อมๆ แค่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อรึเปล่า?

เป็นภาพยนตร์สัญชาติอิตาเลียนที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 สาขา และคว้าชัยชนะมาได้ 3 สาขา มี ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และรางวัลนำชายยอดเยี่ยม Roberto Benigni ที่ปาดหน้าเอาชนะ Tom Hank จาก Saving Private Ryan และผู้เข้าชิงคนอื่นไปแบบฮือฮาในงานปีนั้น

 

 

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สงครามแนวคอเมดี้-ดราม่าระดับมาสเตอร์พีซ ‘Life Is Beautiful’ (ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง ฉายในไทยปี พ.ศ. 2542 ) คุณพ่อใช้พลังแห่งจินตนาการเพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกชายตัวน้อยจากความโหดร้ายช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แปรเปลี่ยนความจริงสุดสะพรึงให้เป็นเกมง่ายๆ ในสายตาของเด็ก หนังพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความรัก ครอบครัว และจินตนาการชนะทุกสิ่งได้”

ในช่วงท้ายของหนังฝ่ายเยอรมัน-อิตาลีและญี่ปุ่น เป็นฝ่ายพ่ายสงคราม หลังจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิโดยฝีมือของมหาอำนาจอย่างอเมริกา ค่ายกักกันยิวไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป การกวาดล้างชาวยิวครั้งสุดท้ายจึงเกิดขึ้น (แม้กระนั้นหนังก็ไม่ได้แสดงให้เราเห็นถึงฉากชาวยิวถูกยิงตายต่อหน้า หรือชาวยิวนอนจมกองเลือด) เกมสงครามของมหาประเทศจบแล้ว แต่ว่าเกมของกุยโดและโจชัวยังไม่จบ เกมของโจชัวคือการทำคะแนนหนึ่งพันแต้มเพื่อรถถัง เกมของกุยโดคือการรักษาชีวิตของลูกชาย เงื่อนไขทั้งสองจึงหลอมรวมกันคือ กุยโดบอกกับลูกชายว่าหากเขาซ่อนตัวอยู่ในตู้โดยไม่ให้ใครเห็น และออกมาต่อเมื่อไม่มีใครข้างนอก เขาจะชนะและได้รถถัง

ใกล้ตอนจบ (ทั้งของหนังและของกุยโด) กุยโดถูกทหารเยอรมันจับตัวได้ ระหว่างถูกพาตัวไป เมื่อเดินผ่านโจชัว เขาก็ยังมิวายจะส่งรอยยิ้มให้ลูก พร้อมกับการโบกมือลา เป็นทั้งการโบกมือลาลูกชาย ลาจากเกม และลาจากโลกอันแสนวุ่นวายใบนี้ คงจะไม่เกินไปนักหากจะคิดว่ากุยโดยังมองโลกในแง่ดีจนถึงวาระสุดท้าย เขาส่งยิ้มให้ลูก (ให้กับคนดู และให้กับโลก) เพื่อให้ลูกเขาจดจำภาพสุดท้ายของพ่อในภาพของความประทับใจ

เสียงปืนดัง … เกมจบ … กุยโดตาย … คนดูหัวใจสลาย ถือเป็นหนังสงคราม ที่ทำมาเพื่อฆ่าสภาพจิตใจของคนดูอย่างแท้จริงเลยครับ รีวิวหนังสงครามออนไลน์