ริวิว Braveheart
นี่คือหนึ่งในสุดยอดผลงานของ Mel Gibson ทั้งในฐานะผู้กำกับและในฐานะนักแสดง ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีมากมาย ถึงมันจะมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ไปหลายจุดก็ตาม หากทนผ่านช่วงแรกไปได้ พอเข้าสู่ช่วงเริ่มกบฏ หนังก็เริ่มสนุกขึ้นทันที และความยอดเยี่ยมของเรื่องนี้ ส่งให้มันคว้ารางวัลออสการ์ทั้งหมด 5 สาขา จากการเข้าชิงทั้งหมด 10 สาขา แถมยังคว้า 1 ลูกโลกทองคำ จากการเข้าชิงทั้งหมด 4 สาขาอีกด้วย ดูหนังออนไลน์
เปลี่ยนยุคมาช่วงสงครามในคริสต์ศตวรรษที่ 13 กันบ้าง กับผลงานการกำกับและแสดงนำของ Mel Gibson ที่ดัดแปลงเรื่องราวมาจากชีวประวัติของ William Wallce ที่ได้ปลุกระดมชาวสกอตแลนด์ก่อกบฏไม่ยอมก้มหัวให้อังกฤษ เพื่อแลกมากับอิสรภาพ ดูหนัง
เด็กน้อยลูกชายชาวไร่สัญชาติสก๊อตแลนด์ สูญเสียพ่อไปจากการรุนรานของอังกฤษ หลังจากไปเติบโตเป็นหนุ่มโดยการเลี้ยงดูของนักรบที่เป็นลุงแท้ๆของเค้า กลับมาที่บ้านเกิดก็ยังโดนข่มเหง คนรักโดนทำร้าย จนพาไปเส้นทางการเป็นหัวหน้ากลุ่มกบฎ ต่อต้านการห่มเหงรังแก และประกาศอิสรภาพของประเทศอันเป็นที่รัก
ทุกอย่างเริ่มต้นจากมือเขียนบทตกอับนามว่า แรนดอลล์ วอลเลซ บังเอิญไปรับรู้ถึงวีรกรรมของ วิลเลี่ยม วอลเลซ ชายชาวสก็อตที่ปลุกระดมผู้คนในชาติให้ลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษจากการยึดครองและกดขี่เมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 13 แม้รายละเอียดในสคริปต์จะห่างไกลจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ไปมาก ทว่าเนื้อหาได้ถูกใจใครต่อใครในฮอลลีวูด
นี่คือหนังสงครามเรื่องสำคัญที่เปรียบเสมือนใบเบิกทางให้ชื่อของ Mel Gibson ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะพระเอกขายหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังพ่วงมาด้วยฐานะผู้กำกับมากคุณภาพอีกคนของวงการอีกด้วย หากกล่าวถึงเสียงพากย์ภาษาไทยของหนังสงครามสุดกินใจชิ้นนี้ แม้จะมีการให้เสียงในหลากหลายเวอร์ชั่นในต่างวาระและเวลา แต่หนึ่งในเสียงพากย์ไทยที่อยู่ในความทรงจำของผู้ชม คือเสียงพากย์ไทยสำหรับฉายโรง ที่วางเสียงตัวละครไว้อย่างเหมาะสม การพากย์ที่เข้าถึงอารมณ์ของหนังในแทบทุกตัวละคร จึงทำให้ผลงานชิ้นนี้คืออีกหนึ่งในงานอันน่าจดจำที่ทีม CVD เคยฝากการพากย์เอาไว้
เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติ-ดราม่า กำกับภาพยนตร์โดยเมล กิบสันออกฉายในวันที่24 พฤษภาคม 1995 ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของวิลเลียม วอลเลซอัศวินชาวสกอตแลนด์ที่ปลุกระดมชาวสกอตแลนด์ให้ปลดตนเองออกจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งมีพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษเป็นผู้ปกครอง ณ ขณะนั้น วอลเลซปลุกระดมชาวสกอตแลนด์จำนวนมากและตั้งกองทัพขึ้นเพื่อต่อสู้กับกองทัพอังกฤษที่มีจำนวนมากกว่ามาก ภาพยนตร์มีเนื้อหาที่อิงประวัติศาสตร์จึงมีส่วนที่ไม่ถูกต้องและบิดเบือนจากความเป็นจริงอยู่มาก
ชื่อเรื่อง ภาษาอังกฤษ : Braveheart
ชื่อไทย : วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ
ความยาว 177 นาที
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Mel Gibson
ความยาว : 2 ชั่วโมง 22 นาที
นักแสดงนำ : Mel Gibson, Sophie Marceau, Partrick McGoohan
ริวิว Braveheart เนื้อเรื่องโดยย่อ
วิลเลี่ยมส์ วอลเลซ (เมล กิ๊บสัน) เป็นผู้ก่อกบฏชาวสก๊อตแลนด์ เขาเป็นผู้นำในการปฎิวัติเพื่อต่อต้านผู้ปกครองของอังกฤษผู้โหดร้ายที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เดอะ ลองแชงค์ (แพตทริก แม็กกูฮาน) ซึ่งปรารถนาที่จะสวมมงกุฏกษัตริย์แห่งสก๊อตแลนด์ เมื่อวิลเลี่ยมส์ยังเป็นเด็ก คุณพ่อของเขา พี่น้องของเขา รวมทั้งคนอื่นๆ อีกมากมาย ต้องสละชีวิตตนเองในการปลดปล่อยดินแดนแห่งสก๊อตแลนด์ให้เป็นอิสระ ดังนั้นเขาจึงมุ่งมั่นเพื่ออิสรภาพแห่งแผ่นดินบ้านเกิดของเขา แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม และเขาก็ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง วิลเลี่ยมส์ยังได้รับการสนับสนุนจาก โรเบิร์ต เดอะ บรู๊ซ (แองกัส แม็กฟาไดเอน) อีกด้วย
เรื่องนี้มีจุดเด่นหลายๆอย่าง ที่สะกดคนดูได้ทั้งเนื้อเรื่องที่ชวนให้ติดตามไม่แพ้ละครน้ำเน่าทางช่อง 7 เพลงประกอบอันไพเราะ ยิ่งถ้าคนหนังแนวฮีโรหล่ะก็ นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ควรพลาดจริงๆ เพราะเป็นเรื่องเกียวกับ William Wallace วีรบุรุษชาวสกอตฯ แต่เรื่องนี้อย่าหวังว่าจะได้ความสมจริงแบบ Schindler s List เพราะเรื่องนี้ท่าจะโดนใส่ใข่ไปเยอะทีเดียว เพื่อความสนุกของหนัง ตัวร้ายต้องร้ายที่สุด พระเอกก็พระเอกจ๋ากันเลยทีเดียว
ความเข้มข้น เริ่มจาก Murron หญิงสาวชาวสกอตแลนด์ซึ่งเป็นภรรยาที่แต่งงานลับๆ*กับ William Wallace ถูกสังหารโดยทหารอังกฤษ ตอนนั้นสกอตแลนด์ตกอยู่ใต้อำนาจของอังกฤษอยู่ด้วย ชาวบ้านจึงร่วมมือเข้าช่วยเหลือ Wallace ในการแก้แค้น ซึ่งนำไปสู่การรวมตัวของชาวสกอต ในการทำสงครามเพื่อกอบกู้เอกราชของชนชาวสกอต..
สำหรับเรื่องนี้ที่ ชอบเป็นพิเศษอาจจะด้วยว่าเพลงที่เพราะและเนื้อเรื่องโดนใจมากๆ ตัวหนังเองก็ค่อนข้างจะยาวแต่ก็ไม่เยิ่นเย้อจนเกินไป ความยาวของหนังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการผูกปมความรักของตัวเอกตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งเกิดเรื่อง ผู้กำกับได้พยายามทำให้เห็นภาพของความโหดร้ายของอังกฤษและความแค้นของชาวสก อตที่มีต่ออังกฤษในยุคนั้นด้วย
ต่อมา เมื่อบทของความรักจบลง จึงต่อด้วยการแก้แค้นซึ่งทำให้ตกกระไดพลอยโจร จากการต่อสู้เพื่อคนรัก กลายมาเป็นการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่ผู้กำกับก็ไม่วายหยอดให้ Wallace ยังมีภาพของ Murron อยู่ในหัวพร้อมๆกับการเข้ามาของเจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศษพระนามว่า Isabelle ที่เป็นพระชายา ของมกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ สรุปคือภาพใต้สถานการณ์ของการต่อสู้ก็ยังมีเงื่อนไขของความรักเข้ามาเสมอโดย มีปมเป็นสิ่งของแทนตัวของ Murron ที่ Wallace เก็บไว้เสมอมา
สำหรับ Braveheart นั้น เป็นหนังสงครามย้อนยุคในระดับ Epic อีกเรื่อง ที่สะท้อนความสามารถในการกำกับหนังของ Mel Gibson ได้เป็นอย่างดี จนได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากออสการ์มาครอง อีกทั้งบทที่ออกมาในสไตล์ละครที่ดูง่าย แต่กลับปลุกใจและความฮึกเหิมในใจคนดูได้เป็นอย่างดี แม้หนังอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบเนื้อหาที่ตรงตามประวัติศาสตร์ หรือไม่ชอบความรุนแรงสักเท่าไร แต่หากมองข้ามเรื่องราวเหล่านี้ไปได้แล้ว นับว่าเป็นหนัง Epic ที่ยิ่งใหญ่ดีเหลือเกิน ถ้าใครชอบหนังแบบย้อนยุคสุดยิ่งใหญ่อย่าง Gladiator, The Patriot หรือ Kingdom of Heaven แล้ว Braveheart ก็อยู่ในตระกูลชุดนี้เลย
หนังมีความครบเครื่องทุกองค์ประกอบในหนังสงครามมาก นับตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุของหนังก็ดูเป็นแรงจูงใจที่ดีที่นำไปสู่การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ มีการปูแรงจูงใจ และความคลั่งแค้นของตัวละครเอก จนเป็นพื้นฐานที่เสริมในส่วนสงครามในหนังได้เป็นอย่างดี ในฉากต่อสู้ต่างๆ นั้นก็อุดมไปด้วยความรุนแรง ดูเอามันส์ และอัดแน่นไปด้วยพลังอย่างเต็มเปี่ยม แม้ว่าตัวบทจะค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จ อีกทั้งยังโดนคนดูสับในเรื่องของการใส่สีตีไข่แต่งเติมเข้าไปเยอะ เพื่อความบันเทิง แต่ก็ทำให้มันเข้ากับหนังได้เป็นอย่างดีในการลากเรื่องราวไปถึงความพีคในตอนท้าย
อะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยม
ทั้งฉากสงครามอันดุเดือด งานภาพอันงดงาม เรื่องราวความรักประทับใจ บทประพันธ์ดนตรีอันไพเราะ และทีมนักแสดงที่น่าจดจำทั้ง โซฟี มาร์โซ, แคทเธอรีน แม็คคอร์แม็ก, เบรนแดน กลีสัน, แองกัส แม็คเฟเดน และ แพทริก แม็คกูแฮน ในบทกษัตริย์เอ็ดเวิร์ด ลองแชงค์ส จอมโหด Braveheart จึงเป็นหนังสงครามชั้นเยี่ยมซึ่งย้ำเตือนถึงคุณค่าของเสรีภาพ และยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมา รีวิวหนังบู้ออนไลน์
เพียงการแสดงนำควบกำกับเองหนที่สองนี้ ใครจะเชื่อว่า เมล กิ๊บสัน จะพุ่งทะยานไกลชนิดมีผลงานหนังดีกรีคว้าห้ารางวัลออสการ์ ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยน ตร์ยอดเยี่ยมและกำกับยอดเยี่ยมให้เขาได้หยิบตุ๊กตาทองติดมือกลับบ้านถึงสอง เป็นความสำเร็จสูงสุดในอาชีพของเมลอย่างไม่ต้องสงสัยกับการทำหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์แบบครบรส หลากอารมณ์ ผู้ชมได้รับความบันเทิงเต็มขั้นชื่อว่า Braveheart (1995)
ด้วยความที่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาเยอะก็อาจจะเป็นข้อดี ในการสร้างจังหวะหนังให้ออกมาดึงอารมณ์ให้คนดูได้อยู่มาก ให้เรามีอารมณ์ร่วม ให้เราอยากเชียร์ให้ฝั่งตัวเอกชนะอำนาจเผด็จการไปด้วยกัน อีกส่วนที่ดีงามของก็คือดนตรีประกอบจากฝีมือของ James Horner ที่ดูปลุกเร้าซะเหลือเกิน จนทำให้แม้บทหนังจะธรรมดา แต่พลังที่หนังส่งมาให้ และการบิวท์ขั้นสุด ก็ทำให้คนดูอินไปจนต้องเสียน้ำตาให้กับหนังไม่ยากเลย หากใครที่ไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ที่สมจริงแล้ว นี่คือหนังสงครามอีกเรื่องที่ควรมาก ด้วยรางวัลออสการ์ถึง 5 รางวัลในปีนั้น แถมยังมีรางวัลใหญ่อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม ก็มั่นใจได้เลยว่าของเขาดีจริง
Braveheart สามารถคว้ารางวัลออสการ์ 5 รางวัลมาครอง คือ
-สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
-สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
-สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม
-สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม
-สาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม
นี่แหละครับความสุดยอดของหนังเรื่องนี้ รีวิวหนังสงคราม