รีวิว dunkirk
Dunkirk บอกเล่าเรื่องราวที่ทหารอังกฤษ เบลเยี่ยม แคนาดา เนเธอร์แลน และฝรั่งเศส มารวมตัวกันอยู่ที่หาดเดียวกัน เพราะถูกเหล่าทหารเยอรมันปิดล้อมอยู่ที่หาดดันเคิร์ก ทำให้ต้องมีการอพยพทหารกว่า 400,000 นายออกมาจากหาดกินระยะเวลาเกือบ 10 วัน และต้องอาศัยเรือพลเรือนเข้ามาช่วยด้วย ถ้าสังเกตโลโก้ชื่อเรื่อง Dunkirk จะเห็นได้ว่ามันประกอบไปด้วย 3 สี คือ Sky Blue, Dark Blue และ White นั่นคือการออกแบบแบบจงใจเพราะมันสื่อถึงเนื้อเรื่องที่หนังแบ่งเล่าเป็น 3 ส่วน ท้องฟ้า, ทะเล และภาคพื้นดิ อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าอยากรับชม ติดตามต่อได้ที่ ดูหนังออนไลน์
การเล่าเรื่องของหนังจะ ใช้เทคนิคเล่าแบบ 3 เหตุการณ์ในเหตุการณ์เดียวกัน ไม่งงนะ 55555 แล้วเอาทั้ง 3 มาเชื่อมกันได้อย่างลงตัว ถ้าใครเป็นแฟนหนังของผู้กำกับเรื่องนี้จะรู้ดีว่า ถ้าจะให้เล่าแบบธรรมดา อดีต ปัจจุบัน อนาคต แบบหนังทั่วๆไป มันจะผิดวิสัยของหนังโนแลน ถ้าใครผ่าน Memento มาแล้วก็สามารถดูทุกเรื่องของโนแลนได้สบาย ขนาดฉากบางฉาก ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคเล่าย้อนก็ได้ แต่พี่แกก็จัดมาให้ ทำให้เหมือนจะ งง แต่ไม่ งง เป็นเอกลักษณ์ในการลำดับภาพลำดับเรื่องที่น่ากระแทกมือให้จริงๆพี่น้อง
ถ้าพูดถึงหนังที่ต้องมีตัวเอกของเรื่อง หนังเรื่องนี้ตัวเอกคงเป็นภาพและเสียงที่เป็นตัวดำเนินให้คนดูรู้สึกไปกับมัน หนังเรื่องนี้เอาจริงแค่ไปดูภาพต่างๆ ที่นำเสนอออกมาก็คุ้มแล้ว ทุกเฟรมภาพถ่ายทำออกมาดีมาก ไม่ได้มีซีจี หรือเอฟเฟกต์อะไรหนักหน่วงมากมาย แต่สื่อสารอารมณ์ได้ดีมากๆ มันเวิ้งว้าง มันนิ่งเรียบ มันคือความสวยงามที่ขัดกับสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเจอ ดูหนัง
ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังเกี่ยวกับสงคราม อาจคิดว่าต้องมีระเบิดตู้มต้ามทั้งเรื่อง เอฟเฟกต์ต่างๆ ต้องงัดออกมาเต็มที่ ต้องมีร้องไห้ ต้องมีกรีดร้อง ต้องมีเลือดไหลโชก!! แต่ โนแลนไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นแบบนั้น เขากลับสร้างหนังเรื่องนี้ออกมาได้เรียบง่ายสุดๆ เล่าผ่านเส้นเรื่องที่จริงใจ ไม่ได้เติมแต่งหรือพยายามขยี้อารมณ์คนดูให้รู้สึกหดหู่ แต่ยิ่งทุกอย่างมันราบเรียบไปหมดเราเลยยิ่งเกิดความกดดัน เราไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไรบ้างในหนังเรื่องนี้ เหมือนเราถูกพาเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ หน้าที่ของคนดูคือการเผชิญไปกับตัวละครในสถานการณ์ต่างๆ เท่านั้นเอง
คริสโตเฟอร์ โนแลน คือ ผู้กำกับที่ไม่ว่าจะหยิบหนังแนวไหนมาทำ แกก็มักจะเติม ‘ความเป็นโนแลน’ เข้าไปและสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ให้กับหนังแนวนั้นได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังฮีโร่อย่าง The Dark Knight หรือ หนังไซไฟอย่าง Interstellar และเมื่อโนแลนหันมาทำหนังสงครามกับ Dunkirk มันจึงน่าสนใจมากว่าแกจะทำมันออกมาในรูปแบบไหน
ถ้าเปรียบ Dunkirk เป็นอะไรซักอย่างผมขอให้เป็นพวกนางงามที่ชนะได้มงกุฎ คือมันเพอร์เฟคทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ตั้งแต่เริ่มยันจบ แทบจะไม่มีเวลาได้พักหายใจหายคอ คู่รักข้าวใหม่ปลามันที่หวังจะเข้าไปสวีทในโรงนี่เปลี่ยนเรื่องเถอะ แค่อารมณ์จะยกน้ำขึ้นมาดูดยังไม่มีเลย สิ่งที่ชอบมากใน Dunkirk คือดนตรีประกอบ ผมว่าออสการ์ยังไงก็ได้เข้าชิงในสาขานี้ส่วนจะได้รึเปล่าว่ากันอีกเรื่อง ดนตรีนี่คือมึงจะบิ๊วอารมณ์กูไปถึงไหน ดูน้องมีนาไลฟ์สดแล้วบอกให้ครางชื่อตัวเอง ยังอารมณ์ไม่แตกกระเจิงเท่าเสียงซาวด์ของหนังเรื่องนี้ ฉากระเบิดนี่คือแบบ อื้อหืออออ แนะนำดู Imax คุณจะได้อรรถรสแบบขั้นสุดที่หนังมันนำเสนอ แค่เข้าไปนั่งฟังเสียงแล้วปิดตาดูผมก็ว่าคุ้มแล้วหละเรื่องนี้ ดนตรีประกอบนี่ขั้นเทพจริงๆ
แต่ใครจะไปรู้ว่า “แบร์รี่ คิออกแกน” หนุ่มหล่อที่ปรากฏตัวในหนังมหากาพย์สงครามของผู้กำกับโนแลนกับบทเด็กชายผู้ให้การช่วยเหลือทหารบาดเจ็บด้วยเรือพลเรือนคนนี้ เขาเกิดและเติบโตขึ้นมาใน ‘ดับลิน 1’ ย่านศูนย์กลางเมืองไอริชที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมเสี่ยงตายไม่แพ้สงครามในดันเคิร์กเลยสักนิด
รีวิว dunkirk โคตรหนังสงครามที่หยุดดูไม่ได้
Dunkirk คือ ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ โนแลน ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ความพิถีพิถันด้านงานสร้างเท่านั้น แต่มันยังเป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นถึง ‘ความกลัว’ และ ‘ความหวัง’ ของมนุษย์ในช่วงเวลาวิกฤติได้อย่างทรงพลัง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเหตุการณ์ที่ทั่วโลกต้องจารึกและถูกนำมาสร้างเป็นหนังอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงแม้จะถูกเอามาสร้างเป็นหนังออกมาหลากหลายมุมมอง หลากหลายเรื่อง แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังสร้างความช็อคให้กับคนดูได้อยู่ดี และสำหรับหนังที่สร้างโดย ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ แล้ว มันมักจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้จะสร้างจากเรื่องจริง แต่โนแลนก็ยังฝากลายเซ็นของเขาไว้ในผลงานชิ้นใหม่นี้ได้อย่างดีเยี่ยม ถือเป็นหนึ่งในหนังแนวสงครามที่ดีที่สุดอีกเรื่องเลย
การเล่าเรื่องของหนังจะ ใช้เทคนิคเล่าแบบ 3 เหตุการณ์ในเหตุการณ์เดียวกัน ไม่งงนะ 55555 แล้วเอาทั้ง 3 มาเชื่อมกันได้อย่างลงตัว ถ้าใครเป็นแฟนหนังของผู้กำกับเรื่องนี้จะรู้ดีว่า ถ้าจะให้เล่าแบบธรรมดา อดีต ปัจจุบัน อนาคต แบบหนังทั่วๆไป มันจะผิดวิสัยของหนังโนแลน ถ้าใครผ่าน Memento มาแล้วก็สามารถดูทุกเรื่องของโนแลนได้สบาย ขนาดฉากบางฉาก ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคเล่าย้อนก็ได้ แต่พี่แกก็จัดมาให้ ทำให้เหมือนจะ งง แต่ไม่ งง เป็นเอกลักษณ์ในการลำดับภาพลำดับเรื่องที่น่ากระแทกมือให้จริงๆ
หนังเรื่องนี้จับเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณเมืองดันเคิร์กชายฝั่งของประเทศฝรั่งเศส กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนั้นเสียทีให้ฝ่ายอักษะของนาซีจนล่าถอยมาติดค้างอยู่ที่เมืองนี้จำนวนมาก ในครั้งนั้นกองทัพอังกฤษของฝ่ายสัมพันธมิตรจนปัญญาในการอพยพเหล่าทหารของตนที่เมืองนี้ร่วมหลายแสนชีวิตให้ออกจากสมรภูมินรก
ทั้งยังการถูกปิดล้อมก็ทำให้เหล่าทหารกลายเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินศัตรูยิงทิ้งเล่น เรียกว่ารอวันที่ฝ่ายอักษะไล่บี้มาถึงเพื่อสังหารทิ้งไม่เร็วก็ช้าเท่านั้นเอง และหากเป็นเช่นนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะสูญเสียกำลังพลครั้งใหญ่ ยังส่งผลให้ฝ่ายอักษะได้รุกคืบสู่เกาะอังกฤษซึ่งเป็นจุดยุทธการสำคัญในสงครามครั้งนี้ของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วย เพราะหากเสียอังกฤษเป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็นอเมริกาและแน่นอนหน้าประวัติศาสตร์โลกคงไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้แน่ ๆ
Dunkirk คือ หนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1940 เมื่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นต้องติดอยู่ในวงล้อมของกองทัพเยอรมันในบริเวณชายหาดดันเคิร์ก
เหตุการณ์ครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นของ ‘ปฏิบัติการไดนาโม’ ซึ่งมีศูนย์กลางที่เมือง โดเวอร์ ประเทศอังกฤษ และมีเป้าหมายอยู่ที่การอพยพทหารจำนวนมากถึง 400,000 นายออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งถือได้ว่าเป็นภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และถ้าจะมีอะไรที่ช่วยได้ก็คงจะเป็นปาฏิหารย์เท่านั้น
เราเรียกมันว่าความเป็นดับลินที่แท้จริง มันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผมเฮโรอีนแพร่ระบาดอย่างมากในดับลินและมันก็กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของหลายครอบครัว แม่ของผมโชคร้ายที่เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เธอติดมันอย่างหนัก ก่อนจะเสียชีวิตในที่สุด ผมพยายามที่จะอยู่ที่นั่นและใช้เรื่องราวที่ผมเคยได้สัมผัสมาในการเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น
สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้
หนังที่อิงมาจากเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กับเหตุการณ์ที่อ่าว Dunkirk ผลงานการกำกับและเขียนบทเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวของ Christopher Nolan ที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์
กวาดรายได้และคำวิจารณ์ไปไม่น้อย และคว้ารางวัลออสการ์ 3 สาขาจากการเข้าชิงทั้งหมด 8 สาขา และเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 3 สาขา รีวิวหนังบู้
เนื้อหาของเรื่องนี้เต็มไปด้วยความกดดัน สิ้นหวัง และมีพลัง บางฉากเหมือนจะดีใจได้แปปเดียว อ้าวแม่งอีเครื่องบินเยอรมันมึงมาอีกแล้ว มึงอย่ามาพังทลายอารมณ์ความรู้สึกกูนะ ขอหละะะ หนังพลิกไปพลิกมา ถ้าเอาจริงๆเนี่ยมันแทบไม่มีอะไรเลยนะเนื้อหาของมันแค่ช่วยเหลือทหารแค่นั้น แต่ด้วยการขยี้ของโนแลน และการเล่าเรื่องแบบ 3 เหตุการณ์ ทั้งบนฟ้า บนดิน และในน้ำ มันเลยทำให้หนังดูสนุกและอดไมไ่ด้ที่จะต้องเกร็งนิ้วตีนเวลาลุ้นๆไปกับมัน
ตามสไตล์ของโนแลน วิธีการเล่าเรื่องของแกจะคล้ายๆ การต่อจิ๊กซอว์ ซึ่งอาจจะสร้างความงงงวยให้กับคนดูเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเราเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกันได้ เราก็จะเริ่มมองเห็นภาพรวมที่น่ามหัศจรรย์ของเหตุการณ์ทั้งหมด โดยโครงสร้างการเล่าเรื่องของหนังจะประกอบไปด้วย 3 เส้นเรื่องจาก 3 มุมมองที่สอดประสานกันอยู่
ความเจ๋งของ Dunkirk ก็คือมันเป็นหนังที่มีบทพูดน้อยมากและไม่ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดอะไรมากเท่าไหร่ แต่หนังกลับมีพลังและทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์แบบสุดๆ เรียกได้ว่า มันอัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความกดดันแทบจะตลอดทั้ง 106 นาทีของหนังเลยทีเดียว
และที่ชอบอีกอย่างก็คือการที่หนังเลือกที่จะเล่าจากมุมมองของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรล้วนๆ โดยไม่ได้มีการตัดไปให้เห็นถึงมุมมองของฝั่งเยอรมันเลย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความลื่นไหลของเหตุการณ์ที่ทำให้เรายิ่งอินไปกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
เหตุการณ์บนบก (The Mole) คือ เรื่องราวบนชายหาดดันเคิร์กซึ่งเล่าถึงกลุ่มนายทหารหนุ่มที่รอคอยความช่วยเหลือจากเรืออพยพ
เหตุการณ์ทางทะเล (The Sea) กับเรื่องราวของ มิสเตอร์ ดอว์สัน พลเรือนที่พยายามนำเรือของตัวเองออกไปช่วยเหลือทหารและผู้รอดชีวิต
เหตุการณ์ทางอากาศ (The Air) ซึ่งเล่าถึงนักบินสปิตไฟเออร์ 2 คนที่ทำหน้าที่ปกป้องทหารและพลเรือนระหว่างการอพยพ ซึ่งถือว่าเป็นฉากการต่อสู้ทางอากาศที่น่าทึ่งที่สุดอีกฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์ รีวิวหนังบู้ออนไลน์