รีวิว MISSION IMPOSSIBLE

รีวิว Mission: Impossible – Fallout จ้าาา เอาไปเลย 10/10 เผื่อไม่อยากอ่านกันยาวๆ เลยมาเล่าให้ฟังกันสั้นๆ นี่คือหนังแอคชั่นสายลับที่สามารถยกระดับให้ก้าวขึ้นอีกลำดับ ทุกอย่างมันดีขึ้น บทเติบโตขึ้น แอคชั่นระห่ำขึ้น ขอยกให้มันดีที่สุดของทุกภาคจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า ระยะเวลา 22 ปีหลังจากภาคแรก Mission: Impossible จะเดินทางมาถึงจุดที่หนังขึ้นแท่นเป็นหนังสายลับที่ดีที่สุดเท่าที่มีมาได้สำเร็จ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วกับหนังชุดนี้ หลังจากหยิบเอาทีวีซีรีส์เรื่องดังกลับมารีเมกเมื่อปี 1996 เส้นทางของแฟรนไชส์นี้ก็พุ่งขึ้นเรื่อยๆไล่ตั้งแต่ภาคสามเป็นต้นไป ติดตามชมทุกภาคที่ ดูหนังออนไลน์

จนพิสูจน์ได้ว่า หนังไม่ได้มีเพียงฉากแอ็กชันที่เน้นเว่อร์เกินจริงเท่านั้น แต่หนังยังมีทีมสายลับที่มีหัวใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกด้วย และนี่คือจุดแข็งที่ทำให้ Mission: Impossible ประสบความสำเร็จ อีธาน ฮันต์  สายลับพิเศษถูกส่งเข้าสู่วิกฤตอันน่าหวาดผวาครั้งใหญ่ระดับนานาชาติ ฮันต์กับอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ ลูเธอร์ สติกแคล  และขโมยสาวสวย ต้องเดินทางข้ามทวีปออสเตรเลียและสเปน เพื่อหยุดยั้งความหายนะ ก่อนที่วายร้ายจะประสบความสำเร็จในภาระกิจการทำลายล้าง ดูหนัง

รับหน้าที่ในการฝึกเจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ ของหน่วยงานไอเอ็มเอฟ (IMF – Impossible Mission Force) และเขามีคนรักที่กำลังจะแต่งงานด้วย เป็นพยาบาลสาวที่ชื่อว่า จูเลีย (มิเชล โมนาแฮน) ที่ไม่ได้รับรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของฮันท์ และภารกิจล่าสุดของหน่วยงานไอเอ็มเอฟ ก็คือการจัดการกับวายร้าย ที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา นั่นก็คือ โอเว่น ดาเวียน (ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน) ผู้จัดหาอาวุธและข้อมูลระหว่างชาติ ผู้ไม่เคยมีแม้แต่ความเสียใจ หรือจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ และจ้องที่จะทำลายชีวิตและครอบครัว ของใครก็ตามที่ขวางหน้า

ภารกิจสุดระห่ำของสายลับ “อีธาน ฮันท์” (ทอม ครูซ) หลังจากหายหน้าหายตาไปถึง 5 ปี ซึ่งคราวนี้ฮันท์กลับมากับภารกิจครั้งใหม่ พร้อมกับสายลับสาวคนใหม่ที่สวยเซ็กซี่บาดใจไม่แพ้ภาคเก่าแน่นอน ​อีธาน (ทอม ครูซ) พร้อมด้วยทีมของเขา จะกลับมาในปฏิบัติการครั้งใหม่เพื่อจัดการกับ เดอะ ซินดิเคต องค์กรลับระดับนานาชาติที่เพียบพร้อมไปด้วยเหล่ามือสังหารที่ถูกฝึกมาอย่างไร้ที่ติ งานนี้อีธานและพวกเตรียมระดมทุกกำลังเพื่อล้างบางองค์กรนี้ให้จงได้ ไม่ว่าเขาจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

หนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของสายลับ IMF ที่ออกปฏิบัติการยับยั้งการโจรกรรมข้อมูล แต่ปรากฏว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ทุกคนตายในภารกิจ ยกเว้น อีธาน ฮันต์ คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ และถูกกล่าวหาว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ ทำให้ อีธาน ฮันต์ ต้องสืบหาความจริง และเป็นที่มาของเรื่องราวความมันระทึกใจทั้งหมด ตัวละครใหม่อย่างพี่ซุปมีหนวดอย่าง เฮนรี่ เล่นดีนะ เหมาะกับบทดี แต่ที่อึ้งกว่าคือตาทอม อายุปูนนั้นแล้ววิ่งไหวแถมเล่นเองฉากหวาดเสียวๆทำได้ไงฟระ

รีวิว MISSION IMPOSSIBLE เนื้อหาโดยรวมฝนภาคนี้

ผมเคยดูแต่ละภาคในซีรี่ส์นี้แค่รอบเดียว เลยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าดูซ้ำ (และความจริง Fallout คงเป็นภาคเดียวที่ควรดูทุกภาคมาก่อนอีกสักรอบ หรืออย่างน้อยก็ภาค 5 Rogue Nation เพราะมันแทบภาคต่อตรงๆมาเลย) แต่ส่วนตัวตอนนี้ผมยังชอบภาค 4 Ghost Protocol กว่าหน่อย จากการที่ผู้กำกับ แบรด เบิร์ด เอาประสบการณ์กำกับอนิเมชั่นมาใช้

จนฉากแอ็คชั่นเขามีทั้งอารมณ์สนุกสนาน ทั้งความหัวครีเอทในการสร้างฉากแอ็คชั่นมาก ยิ่งฉากสู้สุดท้ายในโรงจอดรถภาคนั้น ให้อารมณ์ฉากไคลแม็กซ์หนัง Pixar อย่างใน Toy Story 2 หรือ Monsters Inc. เลย

ในหนังภาคนี้ เริ่มต้นด้วยภารกิจที่ อีธาน ฮันต์ (Tom Cruise) เลือกช่วยชีวิตสมาชิกในทีม ทำให้เขาต้องสูญเสียพลูโตเนียมในการครอบครองไป ทำให้สิ่งนี้หลุดไปอยู่ในมือคนร้ายที่หวังจะผลิตระเบิดนิวเคลียร์ทำลายล้างโลก นำไปสู่ภารกิจใหม่ของฮันต์และทีม แต่ภารกิจครั้งนี้ไม่ง่าย เมื่อทาง CIA ได้ส่งเจ้าหน้าที่ฝีมือดี (รับบทโดย Henry Cavill จากซูเปอร์แมน) มาประกบ

แถมด้วยการผสมโรงของ อิลซ่า (รับบทโดย Rebecca Ferguson นางเอกจากภาคที่แล้ว) สายลับของอังกฤษ ที่มาพร้อมกับภารกิจลับจากรัฐบาลตัวเองเช่นกัน

คงจะไม่เกินจริงเลย ถ้าจะบอกว่าตลอด 2 ชั่วโมง 30 นาทีของหนังเรื่องนี้ เข้มข้นแทบทุกวินาที (ใช่แล้ว หนังยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง) ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่หนังจะตรึงคนดูได้ตลอดเวลาขนาดนี้ แต่หนังเรื่องนี้ทำได้ โดยเฉพาะภารกิจขนาดยาวในชั่วโมงสุดท้าย ที่ระทึกขีดสุด เป็นการบีบอารมณ์แบบที่ เอาชนะหนังทั้ง 5 ภาคแรกได้แบบสบายๆเลย

 

รีวิว MISSION IMPOSSIBLE-2

 

ในแง่ของฉากแอ็กชัน มันคงเป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะดีไซน์แต่ละฉากให้เว่อร์ชนะภาคก่อนๆ (อย่างฉากปีนตึกเบิร์จ คาลิฟา อะไรจะแซงหน้าได้ละ) แต่หนังเรื่องสร้างฉากแอ็กชันให้บีบอารมณ์มากยิ่งกว่า ซึ่งดูจะเป็นทางออกที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก หนังมีฉากแอ็กชันซีนใหญ่ๆประมาณ 3 ฉากที่โคตรสนุก และทำถึง แม้จะไม่แปลกใหม่ แต่ทำถึงมากๆ

อาทิ ฉากที่เอาทอม ครูซ ไปขับมอเตอร์ไซด์หนีคนร้ายในปารีส ไม่มีอะไรแปลกเลย แต่ทำถึงมาก ถ้าฉากทอม ครูซ วิ่งไล่คนร้าย ซึ่งมีทุกภาค แต่ภาคนี้ย้ายไปอยู่บนดาดฟ้าในลอนดอน ก็ทำถึงมาก จนเอาชนะภาคก่อนๆได้ไม่ยาก

แต่ในแง่ที่ทำให้ Mission: Impossible ภาคนี้ เอาชนะทั้ง 5 ภาคก่อนหน้านี้ได้ คือบท ซึ่งความดีความชอบ ต้องแบ่งออกมาเป็น 2 องค์ประกอบสำคัญ อย่างแรกคือในแง่ของการเป็นหนังสายลับ บทหนังสร้างให้ภาคนี้ กลายเป็นหนังสายลับที่คาดเดาไม่ได้ มีการพลิกไปพลิกมา เล่นเกมการเมืองกันอย่างสนุกสนาน และอย่างที่สองคือ รีวิวหนังบู้

หนังสร้างให้ อีธาน ฮันต์ เป็นสายลับที่มีหัวจิตหัวใจ แคร์คนรัก แคร์คนในทีม แม้หนังจะฉากแอ็กชันเว่อร์เกินมนุษย์ แต่พระเอกคือตัวอย่างตัวละคร ที่มีความเป็นคนมากๆ และหนังทำให้เรายิ่งตกหลุมรัก อีธาน ฮันต์ มากขึ้นเรื่อยๆ

Mission: Impossible ไม่ใช่หนังสายลับเดี่ยวๆ แต่มันคือหนังสายลับที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม เช่นเดียวกับคนเบื้องหลัง แม้หนังจะดูเป็นหนังโชว์ออฟพระเอกอย่าง Tom Cruise แต่หนังก็เปิดโอกาสให้ทุกตัวละครได้เฉิดฉายบนจอ ทุกตัวดูมีเสน่ห์ และมีฉากของตนเองทุกคน โดยเฉพาะ 4 ตัวละครหญิงในภาคนี้ แต่ละตัวมีบทสำคัญที่ต่างกันไป แต่แสดงพลังในแบบตัวเองได้ดีเยี่ยม

 

รีวิว MISSION IMPOSSIBLE-1

 

ความคิดเห็นหลังดู

แต่ภาค Fallout ผมก็ยังชอบสูสีตามมาติดๆ และพูดได้เลยว่ามันน่าจะเป็นภาคที่ทะเยอทะยานที่สุดในซีรี่ส์แล้ว จากการที่มันพยายามจะขมวดความเป็นซีรี่ส์นี้ทั้งซีรี่ส์เข้ามารวมในภาคเดียว จนบางทีชวนซึ้งกระแทกใจได้อย่างไม่คาดคิด ภาคนี้ดึงตัวละครในอดีต, บางพล๊อตค้างคา, ภาพจำแอ็คชั่นที่ผ่านมา, และประเด็นเก่าๆเรื่องตัวตนการต้องเป็นสายลับที่ถูกต้องในโลกของซีรี่ส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวตนของการต้องเป็น อีธาน ฮันท์ ที่มาพร้อมความสามารถกับหน้าที่หนักอึ้ง ทำให้หนังมีความรู้สึกเป็นปลายทางของทุกภาคที่ผ่านมามาก จนอัดแน่นยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง ราวกับจะทำภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายแล้ว นี่นึกภาพไม่ออกเลยว่าภาคหน้าจะเป็นอย่างไรต่อ

 

 

สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากสำหรับบทที่แม็คควอรีเขียนคือการตีความคำว่าผลกระทบหรือโทษ (Fallout) จากความหวังดีของอีธาน ฮันต์ ทั้งความรักเพื่อนที่ทำให้งานเสียไปจนถึงการกล่าวถึงตัวละครจากภาค 3 อย่างจูเลีย (มิเชล โมนากาน) ก็ยังเกี่ยวพันกับความหวังดีที่กลายเป็นผลร้ายตามมาถึงตัวเขาและทีมได้เป็นอย่างดี ซึ่งกลายเป็นลูกเล่นสำคัญที่คนดูจะต้องลุ้นทุกครั้งที่อีธานตัดสินใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยิ่งทำให้หนังเข้มข้นชวนติดตาม ควบคู่ไปกับปริศนาหลายอย่างทั้งคำถามว่าใครคือ ลาร์ค ผู้ก่อการร้ายตัวจริงกันแน่ ไปจนถึงตัวละครต่างๆว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู ชวนคนดูคิดตามได้อย่างสนุกสนานทีเดียว รีวิวหนังบู้ออนไลน์