รีวิว the guilty

The Guilty เล่าเรื่องราวของ โจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่ประจำสายด่วนฉุกเฉิน 911 ที่ต้องมาเข้ากะปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวในวันหยุดของทีม เขาได้รับสายแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งที่อ้างว่ากำลังถูกลักพาตัว ทำให้เขาต้องหาวิธีและหนทางในการช่วยเหลือเหยื่อสาวผู้นี้ แต่ปรากกฏว่าเหมือนอะไรๆ จะซับซ้อนและไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ เขาจึงต้องพยายามสืบหาความจริง และเขาก็ยิ่งเผชิญหน้ากับความจริงที่ของตัวเองด้วย ดูหนังออนไลน์

โจ เบย์เลอร์ เป็นอดีตตำรวจที่ย้ายมาทำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประจำสายด่วนฉุกเฉิน 911 ด้วยเหตุบางอย่าง วันหนึ่งที่เขาต้องเข้ากะอยู่คนเดียว โจได้รับสายขอความช่วยเหลืออยู่เรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เขาที่ทำหน้าที่คนเดียวจำต้องรองรับอารมณ์ของคนเหล่านั้นไปด้วย จนกระทั่งมีสายจากผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาแจ้งเหตุว่าตัวเธอกำลังถูกลักพาตัว โจจึงอาศัยข้อมูลจากการบอกเล่าของผู้หญิงคนนั้นในการช่วยเหลือเธอ รวมถึงลูก ๆ ของเธอที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน ทว่าเวลาผ่านไปความผิดปกติของคดีลักพาตัวในครั้งนี้ก็ค่อย ๆ เผยมาทีละน้อย ดูหนัง

พล็อตแนวโอเปอเรเตอร์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน + มีความรู้สึกผิดจากความผิดพลาดในอาชีพตำรวจ ทำให้เรามองว่ามันคือ The Call เวอร์ชั่นไม่ทำครึ่งหลังให้พังพินาศ อาจจะด้วยความที่ประเทศเดนมาร์กมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก คดีลักพาตัวในหนังจึงดูเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันทีสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งผู้ซึ่งเคยทำงานภาคสนามก่อนจะถูกย้ายมาทำงานรับโทรศัพท์ระหว่างรอขึ้นศาล ทำให้การล้ำเส้นด้วยความประสงค์ดีต้องการช่วยเหลือปิดคดีช่วยเหยื่อให้เร็วที่สุดของตัวเอกจึงมีน้ำหนักพอให้เชื่อถืออยู่ เพราะถ้าว่ากันตามตรง หากเจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุมาวุ่นวายกับคดีกันหมดคงวุ่นวายไม่น้อย หนังเล่าได้ตึงเครียด

 

 

ไม่พยายามทำให้ลุ้นเกินเบอร์แบบพวกหนังฮอลลีวูดด้วย อาจจะสงสัยนิดหน่อยว่าตำรวจทำงาน multitasking ไม่ได้เหรอ ต้องพักสายหรือถือสายคุยตลอด ไม่มีการทำงานร่วมกันระหว่างคนในทีมหรือการเขียนโน้ต การส่งข้อความในคอมพิวเตอร์เพื่อแจ้งเหตุระหว่างคุยกับเหยื่อประมาณนั้น หนังดูจะเล่าแบบให้ตัวเอกแบกทุกอย่างแล้วก็เล่าไปทีละสเต็ปจนมันดูไม่จริงขึ้นมาเลย พอไปอ่านเจอมาว่ารายละเอียดการทำงานไม่ตรงความจริงก็เลยเชื่อได้อยู่

จะว่าไปที่เราอยากจะชื่นชมหนังแนวนี้ทุกครั้งคือความเป็นหนังทุนต่ำถ่ายทำสถานที่เดียวที่ต้องเล่าเรื่องให้เก่ง คุมไดอะล็อกให้น่าติดตาม ทั้งเรื่องเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์นอกเหนือจากในออฟฟิศรับแจ้งเหตุ เห็นแต่หน้าตัวเอกและได้ยินแต่เสียงคุยโทรศัพท์ที่ต้องนึกภาพเหตุการณ์ตามไปเรื่อย ๆ การคุมเนื้อเรื่องให้เล่าต่อเนื่องว่ายากแล้ว การทำให้ความเข้มข้นไม่ลดลงน่าจะเป็นสิ่งที่ยากกว่า ซึ่งพอ The Guilty ทำได้เลยให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี การมีจุดพลิกผันและค่อย ๆ หยอดรายละเอียดคดีที่ต้องขึ้นศาลของตัวเอกเข้ามาทีละนิดเป็นอีกสิ่งที่ทำให้เราต้องเฝ้ารอด้วยความอยากรู้อยากเห็น นอกเหนือไปจากการลุ้นเอาใจช่วยว่าตัวเอกจะช่วยเหลือคดีนี้ได้อย่างไรในเมื่อตัวเองทำได้แค่หาข้อมูลนิด ๆ หน่อย ๆ

ทุกครั้งที่มีการสร้างหนังด้วยคอนเซปท์ที่ว่า “เกิดขึ้นในสถานที่เดียว” แบบ Phone Booth, Cube หรือ Devil ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายทั้งผู้สร้างและผู้ชมมาก เพราะตัวบทภาพยนตร์ต้องตรึงผู้ชมได้มากๆ มิฉะนั้นความน่าสนใจจะลดหายไปทันที ความท้าทายล่าสุดคือ The Guilty หนังระทึกขวัญของพระเอก เจค จิลเลนฮาล ที่เขาเองทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ด้วย หลังจากไปถูกใจหนังเดนมาร์กชื่อเดียวกัน ก็คว้าสิทธิ์มารีเมก โดยได้ผู้กำกับสายแอ็กชันดุดันอย่าง อันตวน ฟูกัว จาก Training Day, Shooter และ The Equalizer มากำกับ และความพีคคือเพียงแค่ 3 วันก่อนถ่ายทำ อันตวนดันไปใกล้ชิดกับคนที่ติดโควิด เขาจึงต้องกักตัว แต่เพื่อไม่ให้การถ่ายทำต้องเลื่อน เขาจึงกำกับหนังทั้งเรื่องจากรถตู้แทน

 

รีวิว the guilty-1

 

รีวิว the guilty อะไรที่ทำที่ให้หนังเรื่องนี้น่าดู

จุดดีแบบยกระดับหนังขึ้นมาเลยคงเป็นช่วงท้าย อันที่จริงการไขคดีเป็นพื้นฐานปกติที่หนังสไตล์นี้ควรจะทำให้ได้อยู่ละ ซึ่งเรามองว่าการคลี่คลายคดีลักพาตัวของ The Guilty อยู่ในระดับที่ควรจะเป็น ไม่ต้องหักมุมอะไรเยอะมากเป็น fiction เกินเบอร์ เล่าให้มีไขว้เขวนิดหน่อยพอเป็นพิธีแล้วเฉลยแบบตรงไปตรงมาก็ยอมรับได้อยู่

แต่จุดที่น่าสนใจคือเขาใช้การสารภาพสิ่งที่ค้างคาในใจใส่เข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมกับคดีลักพาตัวที่ติดตามอยู่ คดีในศาลอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เดายากมากว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตัวเอกโดนย้ายงานมา ซึ่งคงมีกี่ไม่สาเหตุที่ทำให้โดนย้ายงานนั่นคือไปทำอะไรผิดมา แต่เราก็อยากรู้อยู่ดีว่าเขาทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกผิด พอถึงฉากที่หนังสารภาพขึ้นมาในจังหวะที่คดีกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลยเป็นอะไรที่เหมาะเจาะจะปิดหนังได้สวยเอามาก ๆ

 

 

ใน The Guilty เจค จิลเลนฮาล รับบท โจ เบเลอร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ LAPD ที่มารับหน้าที่ Call Center ของสายด่วน 911 กะดึก ด้วยปัญหาชีวิตอะไรบางอย่างทำให้เขาจากเดิมเป็นเจ้าหน้าที่นักสืบที่ลงพื้นที่จริง ต้องย้ายมาทำงานนี้ และแจ็กพ็อตก็เกิดขึ้น เมื่อโจรับสายหญิงสาวปริศนา ที่โทรเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อเธอถูกชายลึกลับลักพาตัวไป โจจึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อช่วยหญิงคนนี้

แม้เขาจะทำได้เพียงอยู่ที่ Call Center เพื่อประสานงานเท่านั้น แต่อุปสวรรคทั้งหมดไม่จบแค่นี้ เพราะในขณะเดียวกัน แอลเอทั้งเมืองกำลังเผชิญกับไฟป่าขั้นรุนแรง ทำให้เจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดต้องทุ่มเวลาไปกับเหตุวิกฤต เช่นเดียวกับสายด่วน LAPD ที่เต็มไปด้วยสายขอความช่วยเหลือเรื่องไฟป่า ทำให้การช่วยหญิงปริศนาจากเหตุลักพาตัวของโจ ยากขึ้นเป็นเท่าตัว

 

 

แน่นอนว่า The Guilty เป็นเหมือน One Man Show ของเจคเลยจริงๆ เพราะทั้งเรื่องแกเล่นอยู่คนเดียว กับสายปริศนาในสายโทรศัพท์ มีตัวละครมนุษย์ปรากฏอยู่รอบตัวไม่กี่คน (และแทบจะไม่ได้คุยกับพระเอกด้วย) นอกจากนี้ทั้งเรื่องก็เล่ายังแค่ในสถานที่เดียวคือ ศูนย์ Call Center 911 ในแอลเอ ต่างจากหนังอย่าง The Call ของฮัลลี เบอร์รี่ ที่เล่าถึงนางเอกอยู่ปลายสายเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นยังมีตัดไปฉากคู่ขนานกับเหตุระทึกด้านนอก แต่ The Guilty คือเล่นโจทย์ยาก โฟกัสแค่พระเอกล้วนๆ ซึ่งถือว่าหนังก็สอบผ่านได้อย่างน่าพอใจ แม้จะมีจุดที่รู้สึกยังทำไม่ถึงบ้าง แต่โดยรวมถือเป็นหนังระทึกขวัญที่ตรึงผู้ชมได้อยู่

ในแง่ของบทภาพยนตร์ผู้เขียนคิดว่าครึ่งแรกบิลด์อารมณ์ได้ดี โดยเฉพาะการปูปริศนาทั้งเคสหลังสายที่พระเอกต้องเจอ และปมของตัวละครพระเอกเองด้วย แต่ในครึ่งหลังความตื่นเต้นกลับลดลงเล็กน้อย ด้วยการเฉลยที่ยังไม่ได้ไปสุดเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ 90 นาทีของ The Guilty น่าติดตามที่สุด คงหนีไม่พ้น การแสดงของ เจค จิลเลนฮาล ที่ไต่ระดับอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่เขาต้องเผชิญกับความเครียดขั้นสุด ทั้งเคสที่เขาดูแล และปมส่วนตัวที่ตัวละครต้องเผชิญ อาจจะเรีียกได้ว่าเขาคือ เดอะแบก ของหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้

 

 

อีกเรื่องแล้วที่กดดูโดยไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อันที่จริงเราออกจะชอบประสบการณ์ที่เซอไพรส์หน่อยเช่นดูหนังที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรหรือการ Blind buy น้ำหอมอะไรอย่างนั้น

ซึ่งนั่นก็ทำให้ลุ้นกันเข้าไปใหญ่ The Guilty เป็นภาพยนตร์ฉบับรีเมคของหนังเดนมาร์กเรื่อง Den Skyldige (2018) เป็นภาพยนตร์ที่มีนักแสดงนำคนเดียวทั้งเรื่อง ทำสิ่งสิ่งเดียวอย่างการรับสายฉุกเฉิน 911 ทั้งเรื่อง เห็นหน้า Jake Gyllenhaal กันตลอดชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว เนื้อเรื่องและบรรยกาศมีความตื่นเต้นชวนให้อยากรู้ไปเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่

โดยที่เราจะได้รู้เท่าที่ตัวเอกอย่างโจ เบย์เลอร์ รู้นั่นล่ะ คิดอยู่ว่าถ้าพล็อตและสถานการณ์แบบนี้ไปทำเป็นเกม Interactive พวกแนว ๆ ค้นคอม ค้นมือถือ สืบปริศนา สืบปริศนาจากกล้องวงจรปิด แล้วผู้เล่นก็ต้องค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว ต่อสายหาคนที่คิดว่าควรโทรหา อะไรเทือกนี้คงเป็นเกมที่สนุกน่าดู

 

รีวิว the guilty-2

 

ความประทับใจหลังดูจบ

Jake Gyllenhaal เอาอยู่ทั้งเรื่อง ไม่รู้ว่าเพราะชอบหน้าอยู่แล้วส่วนหนึ่งหรือเปล่า แต่เราดูได้เรื่อย ๆ ไม่เบื่อนะ ถึงจะรำคาญความหัวร้อนของตัวเอกอยู่บ้างก็เถอะ บอกก่อนว่าเราเป็นคนที่สนุกกับการฟัง นึกภาพฟังละครวิทยุอะไรแบบนั้นเราก็อิน เพราะฉะนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงถูกจริตเรา ถ้าคิดว่าใช่ ก็ลองดูได้เพราะจากที่ดูรีวิวคนหลับก็มีเยอะ รีวิวหนังบู้

เป็นหนังที่ดูสนุกได้เพราะสถานการณ์พาไป แม้ว่าเรื่องราวอาจจะเครียดและกดดัน แต่ลูกเล่นที่หนังปล่อยให้คนดูตามติดเรื่องราวด้วยแค่วิธีการฟังเสียงเพียงเท่านั้น เป็นไฮไลท์ที่โดดเด่นและทำให้คนดูแทบละลายตาไปจากหนังเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบใดๆ แต่มันก็เพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเล่าเรื่องด้วยภาพเหตุการณ์เลย

 

 

แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก

ในตอนสุดท้ายด้วยข้อความข่าวที่สรุปขึ้นมาก็ทำให้เข้าใจได้ว่าแมสเสจหนึ่งของตัวหนังคงเป็นการพูดถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มักจะไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด The Guilty และพูดถึงลักษณะของมนุษย์ ที่บางครั้งการที่จะพูดคุยกับใครสักคนที่แตกสลายก็คงต้องใช้คนที่ข้างในเป็นชิ้น ๆ พอ ๆ กัน จึงเป็นภาพยนตร์ที่มีความติดดิน อยู่กับความเป็นจริง จะเห็นได้ว่ามีหลาย ๆ ส่วนที่ (ต้นฉบับ) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ทั้งสายของเหยื่อที่โทรเข้ามา 911 ขณะนั่งอยู่ข้างโจรลักพาตัวหรือการฟังพ็อดแคสเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ จากนั้นพอมาทำเป็นเวอร์ชั่นนี้ก็มีการใส่ไฟป่าแคลิฟอร์เนียเข้าไปเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ รีวิวหนังอาชญากรรม