รีวิว The French Connection
ขอบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้ อาจจะเป็นหนังเก่าที่ใครหลายๆคนเกิดไม่ทัน หรือต่อให้เกิดทันก็หาดูยากมากในสมัยนั้น ซึ่งผมจะนำมาแนะนำให้ทุกคนดูในวันนี้ และตอนนี้สามารถรับชใง่ายๆ แบบภาพคม ชัดที่ไม่ว่าจะเป็นหนังเก่าขนาดไหนก็ตาม ที่ ดูหนังออนไลน์ มาต่อกันที่ หนังสืบสวนระดับ รางวัลออสการ์เลยนะครับ เรื่องราวของการตามล่า ขบวนการค้ายาเสพติดของ 2 ตำรวจ จิมมี่ “ป็อบอาย” ดอยล์ และ บัดดี้ “คลาวน์ดี้” รุสโซ่ ซึ่งทั้งคู่ก็ทั้งสืบ ล่า และลุยกับ พวกมันทุกรูปแบบล่ะครับ เพื่อตามจับมันมาลงโทษ และก็แน่ล่ะครับ ว่าพวกมันก็ ต้องการเล่นงาน พวกเขาเหมือนกัน โคตรจะน่าดู เลยครับ
หนังกวาดรางวัลออสการ์ไป 5 ตัวครับ รวมถึงหนังยอดเยี่ยม และดารานำชายยอดเยี่ยม กำกับโดย William Friedkin (ซึ่งก็ได้ออสการ์ไปเช่นกัน) ตัวหนังจัดว่าดีครับ น่าติดตาม การไล่ล่าก็ทำได้ดี โดยเฉพาะฉากที่จิมมี่ต้องวิ่งไล่ตามผู้ต้องสงสัยไปทั่วเมืองนั่นน่ะ ดูแล้วเล่นเอาเราเหนื่อยตามไปเลย
งานเเอคชั่นเฉือนคมที่การันตีด้วย 5 รางวัลใหญ่จากออสการ์ กับเรื่องจริงของสองตำรวจเเห่งนิวยอร์ก ‘จิมมี่ ดอยล์’ เเละ ‘บัดดี้ รุสโซ่’ ที่ต้องเเกะรอยตามล่าตัวเเก๊งค้ายามารับโทษ ขอแบบไว้ก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้สรา้งมาจากเรื่องจริงนะครับ สุดยอดเลยใช่ไหม
Hackman ได้ออสการ์ไปก็สมควรล่ะครับ พี่แกเล่นได้ยอดมาก สไตล์แบบแอนตี้ฮีโร่ ลุยๆ หน่อย กล้าสู้กับผู้ร้าย คนอื่นๆ ก็ดีครับ แต่ต้องเข้าใจอย่างนึงนะ ว่านี่เป็นหนังแอ๊คชั่นแบบเก่าน่ะครับ เน้นการสืบ ส่วนฉากบู๊ก็มีแต่พองามเท่านั้น และมุมกล้องก็ไม่ได้หวือหวาอะไร ดนตรีก็ไม่เร้าเท่าไหร่ นี่ไม่ได้แปลว่าหนังน่าเบื่อนะครับ แต่ที่บอกก็คือให้เข้าใจว่า ยุคโน้นฉากบู๊แบบพื้นๆ แบบนี้นี่แหละที่เขาชอบและฮิตกัน แบบนี้แหละที่เขาว่ามันส์สุดแล้ว แต่แน่ล่ะครับว่าถ้าพวกเราสมัยนี้มาดูก็คงหงุดหงิดอยู่บ้าง ก็ทำใจนิดนึงครับ แต่การสืบผมว่กา็ไม่เลวนะ เนื้อเรื่องมีอืดๆ บ้าง แต่ก็พอไหวครับ
เอาเป็นว่านี่เป็นหนังสืบสวนแบบตำรวจจับผู้ร้าย ประมาณนั้น มีอืดบ้าง แต่ก็มีเรื่องการสืบและฝีมือดารามาชดเชย รวมไปถึงฉากบู๊ที่แม้จะเก่าไปหน่อยแต่ก็คลาสสิคครับ และหนังยุคนี้มากมายยังเอามาใช้กันอยู่เลย อาธิ ฉากวิ่งหนี 555 ก็อย่างว่านี่มันหนังปี 70 นะครับ สมัยนั้นก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมมากแล้ว
เป็นหนึ่งในหนังตำรวจที่ชอบมาก ๆ ทั้งที่จริง ๆ เรื่องก็ธรรมดา ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ว่าด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ พยายามโค่นเครือข่าย ค้ายาเสพติดที่เดินทางมาจากฝรั่งเศส เรื่องมีแค่นั้นเลย แต่ที่เหลือคือ การทำยังไงให้ไล่ระดับ ที่มันหนักหนาสาหัส จาก A ไป B ไป C คือความเหนื่อยที่ค่อย ๆ เสียสติจนไปสู่ความคลั่ง ปกติเวลาดูหนังตำรวจะชินกับความเสียสติของมนุษย์ในเรื่อง ความบ้างาน หมกมุ่นกับภารกิจ แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ทำได้ถึงใจเท่า The French Connection เรื่องนี้อีกแล้ว เพราะหนังมัน ไปสู่ปลายทางที่เกินคน ซึ่งเป็นอะไรที่ถูกใจซะมากๆ
จีน แฮ็คแมน เล่นเป็นตำรวจหมาบ้า ยิ่งเขาปรากฎตัวในเรื่องนานเท่าไหร่ ยิ่งเสียสติมากขึ้นเท่านั้น หนังไม่ได้ให้ข้อมูลกับชีวิตเขามาก รู้แค่ว่าเขาเคยพลาดมาก่อน ความหมกมุ่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยมีแรงผลักดันที่เห็นได้ชัดนั่นคือไม่ว่าจะยังไงก็ต้องปิดคดีให้ได้ ซึ่ง How to ปิดคดีในหนังมันระห่ำบ้าบอคอแตก หนังเริ่มด้วยซิทธรรมดา ๆ อย่างการสอดส่องบุคคลต้องสงสัย ค่อย ๆ ตามเขาไปตามสถานที่ต่าง ๆ
ก่อนจะไต่ระดับเรื่อย ๆ ไปสู่การไล่ล่าบนทางเท้า เกมชิงไหวชิงพริบในสถานีรถไฟ และปิดด้วยฉากขับรถไล่ล่าที่บ้าบอคอแตกสิ้นดี ซึ่งสองฉากหลังนี้เราชอบมาก ๆ ทั้งโคตรสนุกและแพรวพราวในการนำเสนอ แม้จะอายุเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม ใครที่ชื่นชอบหนังขับรถไล่ล่าในยุคปัจจุบันอยากให้ลองไปดูฉากในเรื่องนี้ และจะพบกับคำว่า “อันตราย” ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง (ยิ่งไปอ่านเบื้องหลังด้วยยิ่งเสียสติคูณไปอีก)
รีวิว The French Connection สรุปรวมถึงภาคต่อ
ภาคต่อครับกับการตามล่าที่ยังไม่จบสิ้นของจิมมี่ “ป็อบอาย” ดอยล์ (Gene Hackman) ที่เดินทางมายังมาร์เซย์เพื่อไล่จับพ่อค้ายาที่หลบหนีมาและครั้งนี้ เขาก็เข้ามาในถิ่นมันครับ เลยต้องเจอการเล่นงานกลับตามระเบียบ ก็ต้องมาติดตามกันว่าจิมมี่จะจัดการพวกมันอย่างไร ภาคต่อที่แม้จะ เข้มน้อยลงจากภาคแรก แต่ก็ยังทำได้ดีครับ ดารานำอย่าง Hackman ก็แสดงได้ดีตามฟอร์ม ส่วน Fernando Rey วายร้ายจากภาคก่อนก็ยังเล่นได้ดีตามเดิมคับ เรื่องการแสดงนั้นไม่ต้องเป็นห่วงล่ะ แม้หนังจะยังโอเค แต่ก็มีข้อด้อยอยู่ครับ ในเรื่องความอืดที่ออกจะหนักกว่าภาคแรก ซึ่งงานนี้คงมีการเบื่อกันบ้างล่ะครับ จุดที่มันยืดก็จะเป็นเนื้อเรื่องช่วงที่จิมมี่โดนทำให้ติดยา แล้วหนังก็ทำให้เราได้เห็นว่าพี่ท่านตอนติดยาเป็นอย่างไร ทรมานแค่ไหน แล้วก็ต้องมาเลิกยาอีก
ช่วงนี้เข้าใจล่ะครับว่าหนังขายฝีมือของ Hackman แบบเต็มๆ ซึ่งก็จริงน่ะ พี่ท่านเล่นบทตอนติดยาได้ดีมากๆ (ไม่รู้ทีมงานกะจะให้พี่แกได้ออสการ์อีกตัวหรือเปล่านะครับ เพราะภาคแรกแกก็ได้ไปจากบทนี้นี่แหละ) แต่ทว่าเรื่องราวมันไม่เดินไปไหนเลยครับ ดังนั้นช่วงกลางเรื่องเราต้องมานั่งดูคนติดยาและเลิกยาเป็นเวลานานพอควร มันก็อดจะเบื่อไม่ได้ล่ะครับ เพราะการสืบก็ไม่มีอะไร ฉากแอ๊คชั่นไม่มีแทรกเท่าไหร่ และนี่มันเป็นหนังสืบสวนด้วย คือถ้ามันเป็นหนังดราม่าก็ว่าไปอย่าง เพราะมันยังพอแทรกเรื่องชีวิตเข้ามาได้บ้าง แต่มันไม่ใช่อ้ะครับ เราจึงได้เห็นแต่พี่จิมมีเวอร์ชั่นติดยาเท่านั้น ไมไ่ด้มีปมหรือเรื่องราวมาเพิ่มความลึกเท่าไหร่
ช่วงนี้เลยต้องอดทน มากหน่อยครับ เพราะมันไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดน่ะ แต่หนังจะมาเข้าท่าก็ช่วงหลังครับ เมื่อต้องมีการเผด็จศึกกับเหล่าร้าย ก็ออกมามันส์เลยล่ะครับ ผู้กำกับ John Frankenheimer ทำหน้าที่ได้ดีเชียวล่ะ บทสรุปก็นับว่าสะใจดีครับ เป็นการจบเรื่องราวของหนังชุดนี้ได้อย่างลงตัว ถ้าภาคแรกคือการเริ่ม เรื่อง ภาคนี้ก็คือบทสรุปครับ ซึ่งก็ออกมาพอไหว นี่ถ้าช่วงกลางไม่อืดก็คงจะลื่นไหลกว่านี้มากล่ะครับ ก็ทำใจช่วงกลางนิดนึงครับ เพราะช่วงท้ายผมว่าคุ้มค่าที่จะรอดูเลยล่ะ ถ้าใครอยากเอาหนังที่มีฉากตัวเอกติดยาแบบสมจริงล่ะก็ เรื่องนี้เอาไปดูได้เลยครับ หรือถ้าอาจารย์อยากให้เด็กเห็นว่าคนติดยาต้องเจออะไรบ้าง จะเอานี่ไปเป็นเคสตัวอย่างสอนเด็กได้
แต่จริง ๆ สิ่งที่ดีไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ เลยคือฉากจบ ชอบความ แอนตี้ไคลแม๊กซ์ ของมัน ชอบที่คนดูเองก็เหมือนหมกมุ่นไปกับภารกิจที่นายตำรวจคนนี้พยายามจัดการตัวร้ายในสำเร็จ The French Connection สร้างมาจากเรื่องนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงจบแบบในหนังมั้ย แต่เราชอบจังหวะการจับ การขึ้น text และความรู้สึกที่ค้างเติ่งของคนดูสุด ๆ รู้สึกว่าถ้าหนังไม่แม่นยำพอ อาจจะกลายเป็นฉากจบที่ใครหลายคนเกลียด (หรือจริง ๆ ตอนนี้ก็อาจมีคนเกลียดตอนจบดังกล่าวด้วย)
ข้อมุลของสุดยอดหนังเรื่องนี้
ชื่อไทย มือปราบเพรชตัดเพรช
ปี 2514 /1971
นำแสดงโดย จีน แฮกแมน / เฟอนันโด เรย์ / รอย สเลนเดอร์
กำกับโดย William Friedkin
ประเภท แอ๊คชั่น ดราม่า อาชญากรรม
ความยาว104 นาที
สัญชาติ อเมริกัน
สามารถรับชมได้ผ่าน ดูหนัง เว็บดูหนังฟรี
หนังเก่าที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอย่างแท้จริง หากคุณชอบ การรีวิวหนัง แอ๊คชั่น หนังอาชญากรรม หนังบู๊ หรือการสปอยหนัง เว็บของเราคัดสรรเนื้อหา คุณภาพ มาให้สำหรับ คอสายบู๊โดยเฉพาะ อัพเดททุกวัน ติดตามได้ที่ รีวิวหนังบู้