รีวิว Letter from Iwo Jima
วันนี้นายพลรีวิวจะมา แนะนำ หนังสงครามที่ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังหนังสงครามที่เต็มไปด้วยความดราม่าของผู้กำกับลายคราม Clint Eastwood ให้ตายเถอะ มันหดหู่ เขย่าอารมณ์กับแบบไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรยังไง เป็นหนังสงครามที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสูญเสียความเสียสละและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ผ่านความดราม่าอันหนักหน่วงตามสไตล์ผู้กำกับ ของทหารญี่ปุ่นที่แทบจะหมดกำลังใจในการปกป้องพื้นแผ่นดินประเทศของตน
ความจริงแล้วหนังเรื่องนี้เป็นหนังแพ็คคู่ร่วมกับ Flag of our Fathers ซึ่งทั้งสองเรื่องผ่านการกำกับโดย คลินต์ อีสต์วูด ผู้กำกับชาวอเมริกา ทั้งสองเรื่องเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิบนเกาะอิโวจิม่า ชัยภูมิสำคัญของญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง โดยที่ Letters from Iwo Jima จะเล่ามุมมองของทหารญี่ปุ่นในการต่อสู้ถ่วงเวลาเพื่อชาติของตน ขณะที่ Flag of our Fathers จะเป็นการบอกเล่าเหตุการณ์ปักธงชัยที่กลายเป็นภาพลักษณ์สำคัญของอเมริกาในยุคต่อมา
อีกหนังหนังสงครามที่เต็มไปด้วยความดราม่าของผู้กำกับลายคราม Clint Eastwood ให้ตายเถอะ มันหดหู่ เสทือนอารมณ์กับแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง เป็นหนังสงครามที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสูญเสียและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ผ่านความดราม่าอันหนักหน่วงตามสไตล์ผู้กำกับ ของทหารญี่ปุ่นที่แทบจะหมดกำลังใจในการปกป้องพื้นแผ่นดินประเทศของตน เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
Letters from Iwo Jima ไม่ได้มุ่งเน้นให้น้ำหนักกับฉากรบมากมายอะไร แต่จะเน้นไปที่สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของหทารญี่ปุ่น และหัวจิตหัวใจของทหารเหล่านั้น ที่ต้องจากลูกเมียหรือทิ้งพ่อแม่มารบในสงครามที่ไม่มีวันชนะ ภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนเต็มไปด้วยฉากที่สลด หดหู่ สะท้อนความสูญเสียที่เกิดจากสงครามของทั้งสองประเทศได้อย่างดีเยี่ยม Letters from Iwo Jima เป็นภาพยนตร์ที่สร้างคู่ขนานกับ Flags of Our Fathers (2006) ทำให้เป็นมุมมองสงครามของแต่ละฝ่ายแนะนำให้เป็นภาพยนตร์ที่ควรดูคู่กัน
ท่ามกลางความโหดร้ายนั้น ก็ยังมีสิ่งที่พอจะช่วยบรรเทาจิตใจของเหล่าทหารญี่ปุ่นได้บ้าง สิ่งนั้นคือเหล่า “จดหมาย” ที่เป็นเสมือนช่องทาง เพียงช่องทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาได้ติดต่อกับคนที่เขารัก และไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม(ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกา)ต่างก็มี “คนที่อยู่แนวหลัง”ด้วยกันทั้งสิ้น และสิ่งที่สำคัญคือ นอกจากจดหมายจะเป็นตัวช่วยสื่อถึงคนที่รักแล้ว ดูหนังออนไลน์2021 พากย์ไทย จดหมายยังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยระบายความเจ็บปวด ความทรมาน
“คลินต์ อีสต์วูด” ผู้กำกับมือเก๋าของฮอลลีวู้ด ลุกขึ้นมาทำหนังสงครามฟอร์มยักษ์ถึงสองเรื่องในคราวเดียวกันคือ “Flags of Our Fathers” และ “Letters From Iwo Jima” โดยหนังทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมกันอยู่ตรงที่ การเล่าเรื่องการพยายามยึดเกาะ “อิโว จิม่า” ของกองทหารอเมริกัน จากกองกำลังทหารญี่ปุ่นที่รักษาเกาะนี้จนตัวตาย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในศึกครั้งนี้ยังทำให้เกิดภาพถ่ายประวัติศาสตร์ เป็นภาพนายทหารอเมริกัน 6 นาย กำลังร่วมกันนำธงชาติสหรัฐปักลงบนยอดเขาซูริบาจิ บนเกาะอิโว จิม่า ภาพถ่ายนี้ถูกนำมาเป็นตัวแทนของชัยชนะของฝ่ายสหรัฐ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เบื้องหลังภาพถ่ายนั้น เต็มไปด้วย ความตาย รอยเลือดและคราบน้ำตาของทั้งสองฝ่าย
นำ Flags of Our Fathers ถ่ายทอดสงครามครั้งนั้นผ่านสายตาของทหารอเมริกัน ส่วน Letters From Iwo Jima นั้น อีสต์วูด เล่าผ่านมุมมองของทหารญี่ปุ่น ซึ่งสำหรับเรื่องเสียงวิจารณ์หรือการกล่าวถึงนั้น หนังเรื่อง Letters From Iwo Jima ดูจะมีเสียงชื่นชมอย่างหนาหู มากกว่า Flags of Our Fathers เนื่องจากหลายเสียงลงความเห็นว่า Letters From Iwo Jima ทำออกมาได้ถึงอารมณ์กว่า และหนังยังมีประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าอีกด้วย
รีวิว Letter from Iwo Jima สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้หดหู่อย่างบอกไม่ถูก
หนังเรื่องนี้ ไม่เพียงต่อบอกต่ออประวัติศาสตร์ และ เล่าเรื่องราวของ เหล่าทหารแดนอาทิตย์อุทัยบนเกาอิโว จิม่า ที่กำลังเตรียมรับมือกับกองทัพอเมริกา ที่กำลังจะมายึดเกาะแห่งนี้ โดยนายทหารญี่ปุ่น ทั้ง นายพลผู้บัญชาการรบ “ทาดามิจิ คูริบายาชิ”(เคน วาตานาเบะ)ผู้ที่แบกภาระอันหนักอึ้ง แต่ภาระอันหนักอึ้ง ด้วยการปกป้องเกาะแห่งนี้ ด้วยจำนวนพลที่น้อยกว่าประเทศอเมริกาหลายเท่าตัว และยังขาดการสนับสนุน
ทั้งการรบทั้งทางน้ำและทางอากาศอีกทำให้นายทหาร “ไซโก้”(คาซึนาริ นิโนมิยะ) ที่เฝ้าคอยการจบลงของสงคราม เพื่อที่เขาจะได้กลับไปหาลูกเมียและนายทหารอีกคน “ชิมิซึ”(เรียว คาเสะ) อดีตตำรวจที่ถูกไล่ออก เพียงเพราะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย และนายทหารคนอื่นๆที่เหมือนจะรู้ว่า พวกเขานั้นต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นใด ต้องติดตามชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
เรามักจะเคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องความใจถึงของทหารญี่ปุ่นมาเยอะ ทั้งเรื่องการรบแบบเอาตัวเข้าแลก โดยไม่เสียดายชีวิต (ที่เรียก กามิกาเซ่) หรือว่าจะเป็นการยอมฆ่าตัวตาย มิยอมตกเป็นเชลยของข้าศึก สิ่งเหล่านี้นั้น ล้วนแต่ถูกพร่ำสอนให้อยู่ในสายเลือดของเหล่าทหารญี่ปุ่น และการตายแบบนั้น เป็นสิ่งที่พวกทหารญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นการตายอย่างสมเกียรติและเป็นการตายเพื่อจักรพรรดิของพวกเขา ซึ่ง หนังเรื่อง Letters From Iwo Jima ก็ตั้งคำถามถึงการฆ่าตัวตายแบบนั้น ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ? โดยฉากที่แสดงถึงการตั้งคำถามนี้อย่างชัดเจนที่สุดคือฉากที่กองกำลังของ ไซโก้และชิมิซึ โดนข้าศึกโจมตีอย่างหนัก จนต้านไม่ไหว จนหัวหน้าหน่วยเริ่มสั่งให้ลูกน้องทำการฆ่าตัวตาย โดยการนำระเบิดมากอดไว้กับตัว แต่ ไซโก้ กลับไม่ยอมฆ่าตัวตายตาม ชิมิซึ พยายามบีบบังคับให้ไซโก้ฆ่าตัวตาย แต่ไซโก้ บอกกับชิมิซึว่า “ระหว่างการฆ่าตัวตายในตอนนี้เพื่อจักรพรรดิ กับการสู้จนตัวตาย อย่างไหนจะช่วยจักรพรรดิได้มากกว่ากัน?”
และหนังยังแสดงให้เห็นถึง การใช้อำนาจโดยเอา “ความรักชาติ”มาเป็นข้ออ้างในการวางอำนาจของคนบางกลุ่ม อาทิ เรื่องราวของชิมิซึ ที่ก่อนหน้าจะมาประจำการที่เกาะอิโว จิม่านี้ ชิมิซึ เคยเป็นตำรวจเก่ามาก่อน โดยเขาได้ถูกไล่ออก เพราะเขาขัดคำสั่งของเจ้านาย ที่สั่งให้ฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง เพียงเพราะคิดว่าเสียงเห่าของสุนัขจะทำให้การสื่อสารในสงครามผิดพลาด! แต่หนังก็ยังใส่ตัวละครที่รักชาติจริงๆอย่าง นายพล ทาดามิจิ คูริบายาชิ เข้ามาโดยความรักชาตินั้นสื่อออกมาผ่านฉากที่ นายพลคูริบายาชิ ร่วมรับประทานอาหารกับนายพลของสหรัฐ ในสมัยที่นายพลคูริบายาชิ อยู่ที่ประเทศอเมริกา และสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐก็ยังไม่เกิด นายพลของสหรัฐถามนายพลคูริบายาชิ ว่า “ถ้าเกิดสหรัฐกับญี่ปุ่น เกิดทำสงครามกันขึ้นมา คุณจะฆ่าผมมั้ย?” นายพลคูริบายาชิ ตอบว่า “ผมจะทำตามความเชื่อของผม” นายพลของสหรัฐถามอีกว่า “คุณจะฆ่าผม ตามความเชื่อของคุณ หรือตามความเชื่อของชาติ?” นายพลคูริบายาชิ ตอบ “มันไม่เหมือนกันหรือ?”
ความคิดเห็นหลังดูหนังเรื่องนี้จบ
หนังเรื่องนี้ กับสร้างกำไรและได้รางวัลไปมากกว่า ส่วนหนึ่งก็เกิดจากวิสัยทัศนของผู้กำกับเองที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของทหารทั้งสองฝ่ายมากขึ้น จากที่ปกติหนังจากโลกตะวันตกจะใส่ญี่ปุ่นเป็นตัวร้ายตลอด และบูชาความเป็นชาติตะวันตกจนเกินเลย แต่ในหนังแพ็คคู่นี้กลับบอกได้ลำบากว่าใครถูกหรือใครผิด ทั้งสองฝั่งต่างพยายามรบเพื่อให้ทั้งคนในแนวหน้าและคนที่รออยู่แนวหลังมีชีวิตรอดอยู่ได้ คงเหมือนกับที่ใครที่บอกไว้ว่า เมื่อเข้าสู่สงครามแล้วไม่มีฝ่ายใดที่ถูกต้อง
และอีกส่วนที่ต้องยกนิ้วชื่นชมทีมผู้สร้างก็คือการพยายามรวบรวมข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ (จนถึงระดับที่ยอมให้ หนังเรื่องนี้ พูดญี่ปุ่นเกือบทั้งเรื่อง ทั้งๆ ที่เป็นหนังทุนสร้างอเมริกา) และพยายามใส่ตัวละครในจินตนาการลงไปน้อยลงกว่าหนังเรื่องอื่นๆ และนั่นน่าจะเป็นความสำเร็จขั้นต้นที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้คว้ารางวัลทั้งบนเวทีการประกวดและจากใจของคนทั้งหลายๆ ชาติที่จะมองสงครามกันมากกว่าเรื่องชนะหรือแพ้มากขึ้น
นี่ไม่ใช่หนังที่เน้นการทำสงครามแต่หนังพาไปสำรวจสภาพจิตใจของทหารญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญในเหตุการณ์นั้น ตั้งแต่ก่อนอเมริกาจะบุก ตอนปะทะกัน และตอนพ่ายแพ้ โดยเฉพาะในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตที่ทหารญี่ปุ่นไม่ยอมตกเป็นเชลยศึก
ความยอดเยี่ยมนี้คว้ารางวัลออสการ์ไป 1 สาขา จากการเข้าชิงทั้งหมด 4 สาขา และคว้าอีก 1 ลูกโลกทองคำ จากการเข้าชิงทั้งหมด 2 สาขา นับเป็นสุดยอดหนังสงครามอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด รีวิวหนังสงครามออนไลน์