รีวิว The Eight Hundred

วันนี้ผมจะมาแนะนำและรีวิว หนังที่ได้ชื่อว่า “ทำเงินสูงสุดตลอดกาลประจำปี 2020” ไปแล้ว เรียกว่าพอดูจบแล้วยกให้เป็นหนังดีอีกเรื่องของปีนี้เช่นกัน หนังเล่าเรื่องในสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดเซี่ยงไฮ้โดยที่มีกองกำลังของจีนชื่อว่า กองกำลังปฏิวัติแห่งชาติที่ 88 ที่คอยต่อสู้และปกป้องคลังสินค้า ซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายขณะที่มีกองกำลังเพียง 400 คน แต่ได้วางแผนหลอกล่อกองทัพญี่ปุ่นว่ามีกองกำลังถึง 800 คน ดูหนังออนไลน์ฟรี 2021 เต็มเรื่อง พากย์ไทย

และยังได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนชาวจีนอย่างลับๆ อีกด้วย ขณะที่กองทัพญี่ปุ่นก็พยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถเข้ายึดโกดังคลังสินค้าได้ กองกำลังปฏิวัติที่ 88 ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย ในการรบครั้งนี้ได้ทำการรบกันถึง 4 วัน 4 คืน

แม้ว่าหน้าหนังของหนังสงครามที่อ้างอิงประวัติศาสตร์จีนเรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยมีกระแสมากนักในบ้านเรา แถมพอชื่อหนังมีตัวเลข 800 ห้อยท้าย ก็พาลให้นึกถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ว่าด้วยสงครามที่เปรียบต่างเกี่ยวกับจำนวนทหารเหมือนกัน (แต่โบราณกว่า) อย่างเรื่อง 300 (2007) ไปเสียอีกแน่ะ

ด้วยรายได้นับถึงต้นเดือนตุลาคม ที่ทำไปแล้วถึง 450 ล้านเหรียญโดยยังไม่ลาโปรแกรม ถ้าปีนี้ไม่มีหนังเรื่องไหนทำรายได้มากกว่า หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดทั่วโลก และหากจำไม่ผิดจะเป็นครั้งแรก ที่เจ้าของตำแหน่งนี้ไม่ใช่หนังฮอลลีวูด

ด้วยเรื่องราวของทหารสี่ร้อยกว่านาย ที่ปกป้องโกดังสีฮาง อาคารใหญ่โต ซึ่งตั้งอยู่ในเขตสู้รบของเซี่ยงไฮที่เต็มไปด้วยทรากปรักหักพัง ซากศพ และความเสียหายนานาตรงข้ามกับอีกฝั่งของเมือง ที่เป็นเขตเช่าของต่างประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยแหล่งธุรกิจ และสถานบันเทิงมากมาย โดยมีเพียงคลองซูโจที่ขวางกั้นทั้งสองเขตออกจากกัน

ความที่อยู่ใกล้เขตเช่า ญี่ปุ่นจึงไม่สามารถใช้อาวุธหนักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นปืนใหญ่, แก๊สพิษ หรือการทิ้งระเบิด เพื่อจัดการกับโกดังแห่งนี้ เพราะหากลูกหลงไปถึงเขตเช่าของตะวันตกแล้ว ก็อาจจะกลายเป็นการ ‘ดึง’ ชาติที่ได้รับผลกระทบเข้ามาสู่สงครามครั้งนี้ แต่ก็ทำให้ประชาชนในเขตเช่า ที่มีทั้งชาวจีน และชาวตะวันตกได้เห็นการสู้รบที่กินเวลานานถึง 3 เดือน ราวกับเป็นการชมมหรสพชนิดหนึ่ง หากแต่เป็นเรื่องจริงที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย ที่ส่งผลต่อความรู้สึกกับพวกเขาอย่างรุนแรง

แต่อยากจะบอกเลยครับว่า หนังสงครามจีนฟอร์มยักษ์อย่าง The Eight Hundred เรื่องนี้ เป็นหนังจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่สามารถทำปรากฏการณ์ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ด้วยการถล่ม Box Office ทำรายได้ถล่มทลายมากที่สุดในโลกคือ 425 ล้านเหรียญฯ เอาชนะแชมป์เก่าที่ครองอันดับหนึ่งมานานหลายเดือนอย่าง Bad Boy For Life (2020) ที่ครองแชมป์ด้วยรายได้ 424 ล้านดอลล่า หลังครองแชมป์มานานหลายเดือน ขนาดว่าหนังเรื่องนี้ออกฉายสัปดาห์เดียวกับหนังยักษ์ของเสด็จพ่อโนแลนอย่าง TENET (2020) หนังสงครามเรื่องนี้ก็ยังทำรายได้สัปดาห์แรกไปที่ 69 ล้านเหรียญ แซงหนังเสด็จพ่อที่ทำรายได้สัปดาห์แรกไปที่ 53 ล้านเหรียญ

โดยเฉพาะการต่อสู้ที่กินเวลาแค่สามวันในช่วงสุดท้าย ตั้งแต่ 26 ตุลาคม 1937 ที่ทหารทั้งหมดต้องรับมือกับการบุกครั้งสุดท้ายของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งผู้บัญชาการกองทัพที่ถูกสั่งย้าย สั่งเดินหน้าจัดการพวกเขาให้ได้ เพราะถ้าไม่สำเร็จจะถูกตราหน้าว่าเป็น ผู้นำทัพที่ล้มเหลว และนี่คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะทำให้ตัวเองไม่มีมลทินติดตัว ดูหนังออนไลน์2022

รีวิว The Eight Hundred ความก้าวหน้าของวงการหนังสงคราม

ซึ่งหนังก็จับเอาเหตุการณ์ในช่วงนั้นมานำเสนอ เล่าเรื่องผ่านทั้งมุมมองของประชาชนที่อยู่อีกฝั่งคลอง และสายตาของทหารหนีทัพ ที่มีหน่วย 88 ของกองทัพจีนซึ่งดูแลที่นี่เป็นที่พักพิงสุดท้าย

แม้จะเลี่ยงการทำซ้ำ กับสิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นในหนังสงครามเรื่องก่อนๆ หน้าไม่ได้ ตั้งแต่โทนภาพ หรือสภาพแวดล้อม ที่ทำให้นึกถึง Saving Private Ryan, ฉากรบ รวมถึงเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ อย่าง การเล่นหนังตะลุงให้ทหารชมของหัวหน้าหน่วย ก่อนการรบครั้งสุดท้าย ก็อาจมีภาพฉากร้องเพลงใน 1917 ลอยเข้ามา รวมไปถึงเป้าหมายของหน่วย 88 ที่ต้องถอยทัพออกจากโกดังให้ได้มากที่สุด ก็พ้องกับ Dunkirk แล้วก็ทำให้ผู้คนในเรื่องภาคภูมิใจในวีรกรรม และการเสียสละของพวกเขา ไม่ต่างกัน

อีกความน่าสนใจของภาพยนตร์จีนฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญเรื่องนี้ก็คือ เมื่อปีที่แล้ว หนังเรื่องนี้ได้รับเลือกให้ฉายในเทศกาลหนังเซียงไฮ้นานาชาติเมื่อมิถุนายนปีที่แล้วครับ แต่อยู่ดี ๆ หนังเรื่องนี้ดันถูกถอดจากโพรแกรมฉาย 1 วันก่อนเปิดเทศกาล กำหนดการฉายโรงในจีนตามปกติก็พลอยถูกถอดตามไปด้วย เรียกว่าเป็นหนังสงครามที่เคย (เกือบ) ไม่ได้ฉายในจีนเลยก็ว่าได้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุก

แน่นอนกับ ความโหดร้าย ความรุนแรงของสงคราม ที่แม้จะซ้ำซาก แต่การที่เหตุการณ์ในเรื่อง (ที่สร้างมาจากเรื่องจริง) เกิดขึ้นในพื้นที่สองแห่งที่อยู่ใกล้กัน เพียงเดินไม่กี่ก้าวก็ข้ามไปได้ หากแตกต่างกันแบบฟ้ากับก้นเหว เหมือนนรกกับสวรรค์ ราวกับอยู่กันคนละโลก เป็นภาพที่ตัดกันอย่างรุนแรง ก็ทำให้ความน่าหวาดกลัวของสงคราม ชัดเจน มากขึ้น

แง่มุมทางการเมืองก็เช่นกัน เป็นสิ่งที่เคยเห็นกันมาแล้ว เมื่อกองทหารสี่ร้อยกว่านาย ที่ลวงคนภายนอกว่ามี 800 นาย ก็ไม่ต่างไปจากเบี้ยที่ถูกใช้จากผู้มีอำนาจเหนือกว่า โดยหนนี้พวกเขาเป็นตัวแปรในการขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ โดยเฉพาะการที่ฝั่งตรงข้ามของคลอง มีทั้งประชาชนจากประเทศมหาอำนาจตะวันตก และนักข่าว ที่เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ซึ่งไม่ต่างไปจากการใช้ความรักชาติ รักศักดิ์ศรีของประเทศ ของทหารเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือ หากท้ายที่สุด ทหารเพียงไม่กี่คนที่โกดังสีฮางก็กลายเป็นผู้จุดไฟแห่งความเสียสละ ความรักชาติของชาวจีนจนได้  

แต่ในความซ้ำและช้ำ ก็มีความแตกต่าง เมื่อหนังเล่าเรื่องผ่านทหารบ้านๆ ที่หนีทัพมาจากที่หนึ่ง เพื่อหวังว่าจะรอดตายได้กลับบ้าน แต่ไปๆ มาๆ ไม่ต่างไปจากหนีเสือปะจะเข้ หรือเดินมาถึงซอยตัน ทำให้ไม่มีแค่ภาพเดิมๆ ของทหารหาญผู้ยินดีเสียสละ แต่ยังมีภาพอีกด้านของกองทหารจีนในยุคนั้น ว่า มีทหารที่ ‘ไร้’ คุณภาพในการรบไม่น้อย อย่าง ชาวนาที่ถูกเกณฑ์มาและไม่ได้รับการฝึกเพียงพอ, ทหารนั่งโต๊ะที่ฆ่าใครไม่เป็น, เด็กอายุเรียกว่าวัยรุ่นได้ไม่เต็มปาก, รวมถึงทหารบ้านๆ ที่ฝันว่า จะได้เดินทางมาเซี่ยงไฮ ได้เห็นแสงสีกับตา กับน้องที่มาเป็นทหารด้วยกัน ผ่านการรับใช้ชาติ

 

ความคิดเห็นและจุดเด่นจุดด้อยของหนังเรื่องนี้

อีกจุดที่ผมว่าเจ๋งก็คือการสะท้อนภาพวิถีชีวิตและเรื่องราวของชาวเซี่ยงไฮ้ ทั้งทหารและพลเรือนที่อพยพข้ามไปอยู่ในอีกฝั่งของแม่น้ำ ที่สามารถสะท้อนภาพความคิดของผู้คนในยามศึกสงครามได้ดีมาก ๆ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นภาพอันแสนหดหู่ของทหารที่ประจำการอยู่ที่ฝั่งฐานทัพที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ซากศพทหารทั้งสองฝ่ายที่ถูกนำเอามากองรวมกัน ทหารที่ยังอยู่ รวมถึงนายทหารหนีทัพที่ถูกจับได้ก็ต้องอาศัยอยู่ด้วยความกลัว ไม่อยากจะร่วมรบ แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนเป่า

แต่ส่วนที่เลิศหรูที่สุด  คงจะเป็นฉากรบ  ที่ใช้ทุนสร้างจากเรื่องนี้ระดับ 80 ล้านเหรียญ ได้คุ้มค่าทุกสตางค์  เมื่อหนังเสนอฉากรบที่สมจริง มุมกล้องที่เหมือนตามติดชะตากรรมของเหล่าทหาร  ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น  ตระหนก  หวาดหวั่น  อึดอัด  หรือฮึกเหิมไปพร้อมกับตัวละคร  พร้อมทั้งการใส่ภาพความรุนแรงที่จัดมาเต็มที่  กับการรบที่แต่ละช่วงกินเวลานาน  จนทำให้ผู้ชมรู้สึกกว่า  เมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด  ไม่ต่างจากทหารที่หวดกลัวสนามรบ  รวมทั้งงานด้านซาวด์  ที่เมื่อเจอเครื่องเสียงดีๆ  อาจมีโยกหัวหลบกระสุนกันบ้าง  พร้อมกับงานเพลงประกอบ  ที่ทำหน้าที่ส่งได้ทุกอารมณ์ตามจังหวะอันควร

โดยที่อยู่บนยอดสุดของ ก็คือ งานโปรดักชั่นที่ไม่ได้มีแค่สไตล์ การตัดต่อ มุมกล้อง งานด้านภาพ เทคนิคพิเศษ ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่างแบบหนังจีนเล่นใหญ่ทั่วๆ ไป แต่เป็นงานที่มี ‘คลาส’ มีชั้นเชิงในระดับสากล ถึงจะมีความไม่สมบูรณ์ให้รู้สึกไม่น้อย โดยเฉพาะความเป็นมาเป็นไปของตัวละคร แต่ถ้ามองว่านี่คืองานที่ให้ผู้ชมเป็นผู้สังเกตการณ์ The Eight Hundred ก็ถือว่าบรรลุผลตามเป้าหมายของหนัง ที่ยังอาจจะมีวาระซ่อนเร้นนอกเหนือจากการเป็นงานบล็อคบัสเตอร์ของตัวเอง และเป็นงานปลุกใจชาวจีน ก็คือการใช้เรื่องราวในอดีต มาสร้างอนาคตให้กับปัจจุบัน รีวิวหนังสงครามออนไลน์