รีวิว Mississippi Burning

พักหลังๆมานี้รู้สึกว่าอเมริกาจะกล้าหยิบประเด็นการเหยียดผิว ในประเทศตัวเองมานำเสนอผ่านสื่อบันเทิงต่างๆมากขึ้น (ทั้งๆที่เมื่อก่อนประเด็นการเหยียดผิวเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของอเมริกันชนมากเสียจนไม่ค่อยมีใครกล้าหยิบยกขึ้นมานำเสนอกันสักเท่าไหร่นัก) ไม่ว่าจะในหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่อย่าง หรือแม้กระทั่งในวิดีโอเกมชื่อดัง และคุณสามารถดูหนังเรื่องนี้ ได้แบบคมชัดจัดเต็ม น่าสนใจเป็นอย่างมาก ที่ ดูหนังออนไลน์4k

 

รีวิว Mississippi Burning

ช่วงนี้ผมเลย เกิดความรู้สึก อยากหาหนัง ที่ว่าด้วยประเด็นการเหยียดผิว มาดูเพิ่ม ก็โชคดีไปได้ยินชื่อ Mississippi Burning เข้าโดยบังเอิญ ตอนที่ตัวเอง ลองเปิดดูวิดีโอ รายการวิจารณ์ภาพยนตร์ แล้วเห็นว่า Roger Ebert นักวิจารณ์หนังชาวอเมริกัน ชื่อดังผู้ที่เสียชีวิต ไปได้เมื่อไม่นานมา นี้ยกให้ Mississippi Burning ติดเป็นหนึ่งในสิบหนังที่ดี ที่สุดในยุคที่ 80 ในการจัดอันดับของเขา ดูหนังฟรี4k

แถมคุณลุง Ebert ยังบอกอีกด้วยว่า “ในอนาคต หนังเรื่องนี้ จะเป็นหนังที่มีความสำคัญ”  คำพูดของลุง Ebert ทำให้ผมนึกถึง คำพูดของนักวิจารณ์ชาวยุโรป อีกคนหนึ่งที่ผมเคยได้ยินเขา พูดว่า”หนังดี มีเยอะแยะ แต่หนังที่มีความสำคัญ (important films) น่ะมีแค่ไม่กี่เรื่องหรอก หลังจากที่ได้พิสูจน์ ด้วยตาตัวเองแล้ว ผมก็เชื่อสนิทใจเลยว่า Mississippi Burning คือหนึ่งในหนัง ที่มีความสำคัญเพียง ไม่กี่เรื่องเหล่านั้นอย่างแน่นอน

 

รีวิว Mississippi Burning-1

เนื้อเรื่องของหนังดำเนินเรื่องราวในปีค.ศ. 1964 และว่าด้วยเรื่องของสองเจ้าหน้าที่ FBI (รับบทโดย Gene Hackman และ Willem Dafoe) ที่เดินทางมาที่รัฐมิสซิสซิปปีเพื่อสืบคดีการหายตัวไปของนักกิจกรรมทางสังคม (civil rights activists) สามคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างเดินทางมาที่นี้ เรื่องทั้งหมดยิ่งน่าสงสัยเมื่อหนึ่งในสามนักกิจกรรมที่หายหัวไปนั้นเป็นคนดำ และภายในรัฐมิสซิสซิปปี ณ เวลานั้นก็ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นรัฐที่คนอเมริกันผิวขาวรังเกียจคนผิวดำอย่างรุนแรงรวมถึงเป็นแหล่งซ่องสุมของลัทธิเหยียดชาติพันธุ์อย่าง Klu Klux Klan อีกด้วย

ตัวหนังไร้ซึ่งความประนีประนอมในแง่ของการนำเสมอภาพความรุนแรงที่คนขาวกระทำต่อคนดำในยุคที่ความเท่าเทียมทางเพศและชาติพันธุ์ยังไม่แพร่หลายในอเมริกา ซึ่งก็เป็นการนำเสนอว่าความเกลียดชังสามารถชังจูงมนุษย์ให้ทำสิ่งชั่วร้ายอันใดกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้บ้าง ภาพของรัฐมิสซิสซิปปีในหนังเรื่องนี้คือภาพรัฐที่เผาไหม้ด้วยความเกลียดชังที่คนขาวมีต่อคนดำเหมือนความหมายของชื่อหนังเรื่องนี้ไม่มีผิดเพี้ยน

ตัวหนังใช้เวลาตลอดสองชั่วโมงในการกระตุ้นต่อมความรู้สึกโกรธเคืองของคนดูต่อภาพความอยุติธรรมในหนังและความรู้สึกเศร้าหมองของคนดูที่มีต่อชะตากรรมของเหล่าคนดำที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพื่อให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ พูดได้ว่าเลยว่านี่คือหนังที่ไม่ยอมให้คนดูลุกหนีหรือแม้กระทั่งเบือนหน้าหนีสาระสำคัญที่ตัวหนังพยายามจะสื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว

 

รีวิว Mississippi Burning-3

ตัวหนังยังนำเสนอภาพการทำงานของ FBI ได้อย่างสมจริง มีแบบแผนเป็นขั้นเป็นตอนและน่าติดตามอยู่ตลอดเวลาว่าสองตัวเอกของเรื่องจะงัดไม้ไหนออกมาเพื่อใช้ต่อกรกับความอยุติธรรมและอำนาจมืดเบื้องหลังความอยุติธรรมเหล่านั้นในรัฐมิสซิสซิปปี ทำให้หนังสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งสำหรับผู้ชมกลุ่มที่เป็นคอหนังดราม่าที่สร้างมาจากเรื่องจริงและ/หรือคอหนังตำรวจ สืบสวนสอบสวนทั้งหลาย

Gene Hackman และ Willem Dafoe แสดงเข้าขากันได้อย่างดีในบทเจ้าหน้าที่ FBI ที่คนหนึ่งเป็นรุ่นเก๋ามากประสบการณ์ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นพวกหัวสมัยใหม่ไฟแรงที่แม้ต่างคนต่างก็มีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันแต่เพราะมีใจที่รักความเป็นธรรมเหมือนกันทำให้ทั้งสองสามารถร่วมมือกันได้ ส่วนนักแสดงอีกคนหนึ่งที่แม้จะไม่ได้ออกมามากแต่ก็มอบการแสดงในบทสมทบได้อย่างน่าจดจำก็คือ Frances McDormand ในหนึ่งในบทบาทการแสดงบนจอเงินครั้งแรกๆของเธอ

รู้สึกเสียดาย หรือเกินที่ ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้ จะประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ของรายได้ และยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ หลายสาขาตอนที่ออกฉาย แต่พอกาลเวลาผ่านไป มาสเตอร์พีซของผู้กำกับ Alan Parker เรื่องนี้กลับ ไม่เป็นที่พูดถึงกันอย่างเท่าที่ควรนัก Mississippi Burning จึงเป็นหนังที่ส่วนตัว แล้วผมอยากแนะนำ แบบสุดซึ้งสุดใจ ให้ทุกคนได้ลองหามาดู กันให้ได้สักครั้งหนึ่ง เพราะนี้คือหนังที่ ว่าด้วยประเด็นที่ มีความสำคัญต่อ ผู้คนทุกยุคทุกสมัย ที่ควรค่าแกการหามาดูอย่างแท้จริง ยิ่งใครที่ชอบหนัง ที่ว่าด้วยประเด็นการเหยียดชาติพันธุ์อย่าง Schindler’s List, Hotel Rwanda ยิ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

 

 

รีวิว Mississippi Burning หนังเรื่องนี้ ลึกซึ้ง ขนาดไหน

เรื่องนี้นับว่า เป็นหนังดี ที่ถูกมองข้าม และไร้ชื่อ ไร้เสียงจน ไม่ค่อยเป็น ที่รู้จักในวงกว้างสักเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจเพราะประเด็นสีผิวที่รุนแรง ขนาดที่ว่าฆ่าล้างบาง อย่างไร้ความเยื่อใย จนอาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่ยังไงเสียเนื้อเรื่องก็ได้อิงจากเหตุการณ์จริงในปี 1964 ที่สร้างความทุกข์ร้อน ถึงคนผิวสี จนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ร่วมโลก เพราะอะไรทำไมถึงจงเกลียดจงชังคนผิวสีนัก เพราะผิวดำไม่ใช่ผิวขาวที่ดูบริสุทธิ์งั้นเหรอ เพราะไม่ขาวจึงไม่สมควรอยู่กัน เพราะอะไรนั้นคือคำถามที่สะเทือนใจ

คนเราตัดสินใครบางคนหรือกลุ่มคนเพียงเพราะสีของผิวที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้มีมาตั้งแต่ยุคสมัยไหนก็ยังเป็นอยู่เสมอไม่สามารถลบอคติเช่นนี้ได้หมดหลายครั้งคนผิวสีถูกมองในเรื่องผัวพันในสิ่งที่ผิดอยู่เสมอ ดีไม่ดีถูกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะเป็นคนผิวดำทั้งที่ควรให้เหตุผลอื่นเข้าท่ากว่านี้ คิดแล้วแนวคิดนี้ก็ไม่สามารถ เป็นความแตกต่างแค่เปลือก ที่สะท้อนไปถึงก้นบึ้งของ อีกคนจนถึงข้างใน ความเป็นจริงที่แสนน่ารังเกลียดที่แบ่งแยกความเป็นคนด้วยคนกันเองเพราะผิวที่ไม่เหมือนกัน

หนังเรื่องนี้ เปิดเรื่องได้ อย่างเข้าใจง่าย เข้าถึงแบบไม่ต้องเคี้ยว กลืนลงไปเลย โดยไม่ต้องมี คำอธิบายอะไร แค่แท่นดื่มน้ำ ที่ถูกแบ่งอย่าง ชัดเจนระหว่าง White และ Colored ที่เล่นเอา ทะเลาะสนิท เมื่อเจอเปิดเรื่องแบบที่ว่า ต่อด้วยการเร่งความกระจ่างของเรื่อง ให้ชัดเจนมากขึ้นอีกกับเด็กวัยรุ่น ผิวขาว สอง คน และผิวดำ หนึ่ง คนในรถกระบะถูก รถยนต์ไล่ล่า และเรียกตัวออก มายิงพร้อมเสียงเฮฮา ของคนที่ก่อเหตุว่าเหลือคนดำ นิโกร ซึ่งเป็นรุนแรงมาก สำหรับชนชาตืผิวสี นับเป็นสิ่งต้องห้ามในปัจจุบัน หลายๆประเทศนับว่าผิดกฎหมายด้วยซ้ำ

 

 

เชื่อหรือไม่ว่า ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ตัวเอกทั้ง 2 ของเราต้องทำงานนั้นการเล่าเรื่องได้สะท้อนถึงความรุนแรง และการกระตุ้นความสงสัย ประกอบกับการสร้างอารมณ์โกธรเคือง ที่เกิดจากความเกลียดชังในก้นบึ้งของคนผิวขาวจอมเหยียดผิวเหล่านั้นผ่านการกระทำแบบทารุณกรรมในหนัง เราจะพบเหตุการณ์ที่เราต้องพบในแบบที่ ทำไปได้ยังไง ซ้ำร้ายตัวเอกก็ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสมอเมื่อ กลุ่มคนผิวดำนั้นก็ได้แต่เพียงก้มหน้าก้มตารับกรรมแบบไม่ได้พูด

ที่พิเศษที่สุด ของเรื่องนี้ คงจะเป็นการเล่าเรื่อง แบบละเอียดทุกฝีก้าว ตั้งแต่เข้าเมือง มิสซิสซิปปี ไล่ลำดับจากเล็กไปใหญ่ ด้วยการเชื่อมโยง เข้าหากันอย่าง แนบเนียนจน ไม่คิดว่าการผูกเรื่องทั้งหมด จะบานปลายและใหญ่โตขนาดนี้ จะว่าก็ไม่แปลก หากอิงจากเหตุการณ์จริง ที่ยุคนั้นยังเต็มไป ด้วยการแบ่งแยกชนชั้น อะไรหลายอย่าง ยังโหดเหี้ยมอัมหิต และเต็มไปด้วยอคติแบบเก่า จนเป็นความขัดแย้ง ระหว่างแนวคิดเดิม กับแนวคิดใหม่ ที่ต้องการปฏิวัติเสรีภาพ จากนักต่อสู้สิทธิมนุษยชน จนมีค่ายิ่งกว่าชีวิตอย่างไม่รู้ตัว นอกจากเนื้อหาสาระที่แฝงมาให้ขึ้นสุดลงสุดแล้วยังรวมแม้กระทั่งตัวละครที่เข้าไปหยั่งลึกถึงจิตใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่อลันกับรูเพิร์ตที่มีความเข้าขาเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น เอาจริงๆทั้งคู่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากจากรูปลักษณ์และอุดมการณ์ความคิดชนิดคนละฝั่งคนละฝาอลันเป็นตัวละครที่ถูกเข้าหาในช่วงแรกจนเป็นตัวเด่นของเรื่อง

 

 

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ 

ไม่ว่าจะวิธีการเสาะหาข้อมูลหรือตั้งสมมุติฐานก็ล้วนมาจากความจริงที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น สิ่งที่อลันทำแทบจะเป็นไปตามตำราที่แสนเข้มข้นและจริงจังอยู่ตลอดเวลา จริงที่ว่าจะขาดความพลิกแพลงในการไขคดีแต่ความพิเศษของเขาคือการไม่ยอมอะไรง่ายๆ เมื่อความจริงไม่สามารถถูกคายออกก็ต้องเป็นคนหาความจริงนั้นให้เจอ ฉากอลันเอาจริงนับเป็นฉากที่ทรงพลังและชวนตื่นเต้นอย่างที่สุด

ประกอบกับดนตรีประกอบสนสุดแสนตื่นตัวจนรู้สึกทึ่งแม้ไม่ได้ทำอะไร แต่อะไรนั้นการเรียกเจ้าหน้าที่แบบเหมายกคณะจัดเป็นอะไรที่น่าตกใจในการรับมือไขคดี มันแสดงให้เห็นตัวตนของอลันที่ไม่ยอมใครและเล่นให้สุดเท่าที่จะทำได้ แค่นั้นยังไม่พอหากการเรียกเจ้าหน้าที่นับร้อยมาไขคดีต้องหาสถานที่ทำงาน ซึ่งช่วงแรกกลายเป็นปัญหาของชุมชนระแวกนั้นโดยเฉพาะเจ้าของที่ให้ยืมที่มองว่าเป็นปัญหาไม่มีใครเข้ามาใช้บริการโรงแรม อลันจึงแก้ปัญหาแบบหักดิบซื้อสถานที่ไว้ใช้ทำงานจะได้ไม่ต้องมีปัญหาให้ยุ่งยาก

 

 

ทว่าวิธีการของอลันเป็นไปตามกรอบมากเกินไปจนนำไปสู่สงครามภายในระหว่างคนผิวสีที่ถูกย่ำยีจากคนผิวขาวเพราะเกรงว่าจะปริปากบอกอะไรที่โยงไปหาต้นตอได้ ซึ่งนั้นทำให้สังคมถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ต้องการความจริงเพื่อปิดคดีแต่ทำไม่ได้เนื่องจากไร้ซึ่งความจริงและหลักฐานที่ชัดเจน รวมถึงพยานที่ไม่มีใครบอกอะไรได้เลยสักนิด กลุ่มสองเป็นคนผิวสีที่ถูกรังแก้และพยายามออกห่างจากทุกฝ่ายเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเพราะคิดว่าถ้าช่วยเจ้าหน้าที่หรือยุ่งเกี่ยวจะต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือคนในมิสซิสซิปปี และกลุ่มสามเป็นคนขาวในมิสซิสซิปปีที่เห็นชัดว่ามีใครบ้างแต่บอกไม่ได้ว่าจริงมากแค่ไหน อาจจะเห็นอุดมการณ์หรือความคิดเข้าข้างตัวเองชวนโกรธแค้นจนน่าต่อยหน้า แต่ก็นั่นแหละความตั้งใจของเรื่องนี้ที่สะท้อนความชิงชังระหว่างมนุษย์กันเองจนน่าสังเวช

อลันเต็มไปด้วยความพยายามที่มุ่งมั่นตามแบบหนุ่มไฟแรงที่เอาจริงเอาจังจนลืมเรื่องพลิกแพลงกับศึกษาเรื่องสภาพสังคมให้กระจ่าง ผิดกับรูเพิร์ตที่ใจเย็นมาโดยตลอดเพื่อดูความเป็นไปของสังคมชาวเมืองมิสซิสซิปปีก่อนจะลงไม้เด็ดในช่วงท้ายของหนังด้วยกำลังไม้ป่าเมืองเถื่อนที่ดูย้อนแย้งและเสียดสีอย่างลงตัว อีกทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสองให้มุมมองสองแง่ระหว่างตำแหน่งหน้าที่กับประสบการณ์ได้อย่างแนบเนียนระหว่างยุคสมัยการทำงานที่แตกต่าง คล้ายประเด็นความแตกต่างของสีผิวที่ไม่เหมือนกันแต่ทุกอย่างย่อมมีทางออกที่เหมือนกัน งานนี้ไม่ใช่แค่บทตัวละครที่ดูสนุกชวนน่าหลงใหลเพราะยังได้นักแสดงฝีมือดีอีกด้วย ซึ่ง Willem Dafoe และ Gene Hackman เล่นได้ดุเด็ดเผ็ดมันส์จริงๆ

สำหรับประเด็นเรื่องสีผิวค่อนข้างจะรุนแรงซะหน่อยถ้ามองในหลายอย่างๆ เช่น ฉากออกจากโบสถ์ที่มีคนผิวขาวส่วมถุงผ้าปิดบังใบหน้าพร้อมด้วยอาวุธในมือเพื่อใช้ทุบตี ฉากเข้าทำร้ายครอบครัวผิวสีแบบล้างบางไร้ที่อยู่ที่ทำกิน และฉากที่เห็นบ่อยคือการทำลายบ้านด้วยความไร้ปรานี อีกประเด็นที่ซ่อนอยู่คือการสืบทอดหรือสานต่อ ในเรื่องจะมีการพูดถึงการปลุกฝังความคิดความเชื่อจากคนรุ่นก่อนจนเหมือนเป็นความเคยชินที่เชื่อต่อกันมา

 

 

เมื่อยุคสมัยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้อิสรภาพทุกสีผิวจึงเป็นความขัดแย้งไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองรับมาจากคนรุ่นก่อนจนเป็นความต่อต้านเกิดขึ้น ด้วยประเด็นน้อยใหญ่อะไรก็แล้วแต่ที่สอดแทรกเข้ามาก็ล้วนมีความนัยกันหมดทั้งสิ้นและเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างเป็นระบบระเบียบหาช่วงเวลาผ่อนคลายแทบไม่ได้ แม้กับฉากที่ไม่มีอะไรอย่างประชุมในโบสถ์หรือเดินประท้วงยังเต็ฒไปด้วยสัญลักษณ์และความหมายของคนผิวสีที่พยายามต่อสู้อย่างเป็นธรรม แล้วคนผิวขาวทำอะไรอย่างเป็นธรรมบ้างนอกจากทุบตีทำร้ายเยี่ยงสัตว์ชนิดหนึ่ง

สิ่งสำคัญคือความถูกต้องที่ยังมีแต่เรื่องผิดๆที่สอนต่อกันมาโดยไม่ทำความเข้าใจหรือปรับปรุงใหม่ สิ่งที่ค้างคาเป็นทัศนคติเก่าและเห็นแก่ตัว ไม่มีใครยอมรับเพราะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมเพราะมองเป็นเรื่องคุกคามทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุผลที่อ้างมาอย่างลอยๆว่าสีผิวต่างกันย่อมมีความชอบชั่วดีต่างกันกลายเป็นเรื่องสลดใจที่เกิดขึ้นจริงในสังคม

นอกจากสีผิวที่เป็นปัญหายังมียังอ้างถึงหลายสาเหตุ เช่น ศาสนา เชื้อชาติ ตลอดจนการแสดงออกถึงความคิดเห็นที่ต่างกันก็ทำร้ายกันไม่ไว้ใจกันเสียแล้ว ความแตกต่างนำไปสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ทุกที่แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยความรุนแรงเสมอไป แค่หันมาพูดคุยปรับความเข้าใจและเปิดใจให้กว้างก็น่าจะเพียงพอแล้ว ใน Mississippi Burning จะมีเพลงประกอบหนึ่งชื่อว่า Walk on By Faith เสมือนเพลงปลอบใจให้แก่คนผิวสีที่ต่างร้องเพลงนี้ให้ยอมรับในเส้นทางเดินของตัวเอง ยอมรับความทุกข์ลำบากและความเลวร้ายของชีวิต แต่ไม่ได้แปลว่าจะยอมแพ้แค่รอคำว่าโอกาสที่จะเท่าเทียม

หากชอบบทความนี้ ติดตามได้ที่ รีวิวหนังออนไลน์