รีวิว Old boy โหดเคลียบัญชีแค้น
หนังสุดยอดหนังจากแดนกิมจิประเทศเกาหลี เป็นหนังตำนานในระดับที่สามารถคว้ารางวัล GrandPrix & Palme d’O รางวัลเกียรติยศสูงสุดของ Cannes Film Festival รวมถึงต้อนเสียงของนักวิจารณ์และคว้ารางวัลในเทศกาลหนังต่างอย่างล้นหลาม เท่านั้นยังไม่พอฮอลลีวูดยังขอซื้อเรื่องนี้ไป Remake ใหม่ ออกมาเป็น OldBoy (2013) แต่ก็ได้รับเสียงชื่นชมไม่ดีนัก เมื่อเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่กลายเป็นหนังขึ้นหิ้งในใจของใครหลายๆคน
หากหัวเราะ โลกก็พร้อมที่จะหัวเราะไปกับเรา หากร้องไห้ เราก็ร้องไปคนเดียว
ไม่ว่าจะเป็นกรวดหรือเม็ดทราย สุดท้ายมันก็ต้องจมน้ำเหมือนกันหมด
เรื่องนี้เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคอหนังเกาหลีแนวโหดเถื่อนดิบ เนื้อเรื่องมีชั้นเชิงเหนือชั้น สับขาหลอกอย่างมีมิติและที่สำคัญจะเหมาะกับคนที่มีภูมิคุ้มกันต่อความรุนแรงและความโหดด้วย เพราะหนังมีทั้งความโหดทั้งทางกาย และมีผลต่อจิตใจเป็นอย่างมาก จนดูจบอาจทำให้จิตตก หดหู่ไปได้หลายวันเลยทีเดียว ส่วนคนที่คิดว่าสบายๆ ผ่านหนังอะไรแนวๆ นี้มาเยอะอยู่แล้วก็อยากขอแนะนำไว้ในอ้อมใจ แต่ถ้าใจไม่ถึงจริง ก็อยากจะย้ำอีกครั้งว่า เราเตือนแล้วนะ! แต่ถ้าใครผ่านหนังแนว Vengeance ภาคอื่นๆ มาได้ หรือดูหนังสายโหดเกาหลีอย่างพวก I saw the devil อะไรพวกนี้มาจนชินตาแล้ว Old boy ก็จะทวีความโหดขึ้นไปเท่านั้นเอง
Oldboy (2003)
ประเภท : หนังบู๊ แอ๊คชั่น ดราม่า ลึกลับ ระทึกขวัญ
กำกับโดย : ชาน วูก ปาร์ค
ความยาว 120 นาที
รับชมได้ที่ ดูหนัง
เนื้อเรื่องย่อ โอแดซู ชายหนุ่มนักธุรกิจที่ครอบครัวถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม เท่านั้นยังไม่พอ ตัวเขาเองยังโดนจับมาขังเอาไว้ถึง 15 ปี โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และเหตุผลว่าทำไปทำไม จนกระทั่งเขาได้รับการปล่อยตัวออกมา จนได้พบกับสาวสวยคนนึงชื่อว่า มิโด ที่พร้อมอาสาจะช่วยเหลือเขาในการออกตามหาความจริงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งคิดบัญชีแค้นให้กับคนที่มันทำแบบนี้กับเขาเอาไว้
OldBoy กำกับโดย Park Chan-wook ผู้กำกับมือมือทองจากเกาหลี โดย OldBoy มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ โอ แท-สึ ชายหนุ่มผู้พบว่าตัวเองถูกจับมาอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและทำอะไรผิด ด้วยความซวยเขาโดนกักขังเต็มๆ ถึง 15 ปี ทำให้จิตใจเริ่มไม่ปกติ พอครบ 15 ปี เขาถูกปล่อยตัวออกมาโดยที่ยังไม่รู้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เขาได้พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่ชื่อว่า มิโด และเธอคนนี้ก็ได้ช่วยเหลือเขาและเขาก็ได้ตามล่าหาความจริงว่าทำไมเขาถึงถูกขังนาน 15 ปี รวมถึงตามแก้แค้นคนที่ทำลายชีวิตเขาทุกอย่างอย่างสาสม
OldBoy เป็นหนังแนวสืบสวน ระทึกขวัญ ดราม่าแต่ก็มีฉากแอ็คชันเข้ามาผสมอย่างลงตัว และเป็นหนังที่เน้นใช้โทนมืดทั้งเรื่อง เพื่อเล่นเกี่ยวกับจิตใจด้านมืดของมนุษย์ ในส่วนอารมณ์หนัง หนังเค้นอารมณ์เราได้อย่างจับใจและยิ่งผ่านไปเรื่อยๆ หนังยิ่งเค้นอารมณ์คนดูขึ้นไปอีก ประกอบกับบดขยี้ใจคนดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงช่วงท้ายของหนัง ก็แทบจะระเบิดคนดูเป็นจุล ลุ้นและเครียดเส้นเลือดขึ้นหน้า หายใจไม่ทั่วท้องในขณะที่เราค่อยๆรับรู้ความจริงของโอ แท-สึ พอถึงจุดพีคหนัง หนังก็ชกหน้าเราจนชา ขยี้จิตใจเราจนแหลกสลายได้อย่างงดงามสมบูรณ์
รีวิว Old boy อะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นตำนาน
ส่วนการดำเนินเรื่องของหนังก็ค่อยๆ ดำเนินเรื่องช้าๆธรรมดาในตอนแรกและเริ่มดำเนินเรื่องเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยในขณะที่ดำเนินเรื่องไม่มีเวลาไหนที่น่าเบื่อเลย สะกดคนดูได้ทุกขณะ ในเรื่องเราก็จะพบฉากโหดดิบหลายฉาก อาจจะไม่ได้โหดขนาด Saw แต่ฉากเหล่านี้ล้วนเป็นฉากที่เล่นกับอารมณ์เรา เล่นกับความเสียว ความกลัวและการรู้สึกโดดเดี่ยวขาดที่พึ่ง
เนื้อเรื่องเรื่องนี้มันดิบมาก แอดชอบความดิบของหนังเกาหลีแนวๆนี้มาก หนังเล่าเรื่องราวผ่านตัวละคร โอแทซู ได้แบบลึกลับน่าติดตามตลอด มีการตีความของหนังไปเรื่อยๆจนจบ อันนี้น่าสนใจมาก แอดนั่งดูแล้วก็คิดประติดประต่อเรื่องราวมาตลอด พอมาถึงตอนจบมันรู้สึกน่าสังเวชแบบบอกไม่ถูก สังเวชทั้งพระเอกแล้วก็ตัวร้าย
รู้สึกว่า Oldboy น่าจะเป็นหนังการล้างแค้นที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยดูมาแล้ว ซึ่งเจ้าความโหดร้ายที่ว่า มันไม่ใช่แค่ความโหดแบบ เชือดเนื้อ เฉือนหนัง ทำร้ายแค่เพียงร่างกาย แต่เรื่องนี้มันเป็นล้างแค้นในแบบที่โหดลงไปในทุกอณูจิตใจได้อย่างถึงที่สุด ตัวหนังเองมีธีมหลักของเรื่องเป็นการสืบสวน ถึงที่มาที่ไป และเหตุผลของการที่ตัวเอกอย่าง โอแดซู ได้ถูกจับมาขังเอาไว้ถึงตั้ง 15 ปี ซึ่งชวนคิดเป็นอย่างมากว่า คนที่ทำเป็นใคร และเหตุใดจึงมีความคับแค้นใจถึงเพียงนี้ หนังก็ทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี และกระตุ้นความกระหายอยากรู้ให้กับคนดูได้สุด จนพร้อมใจที่จะตามไปจนจบเรื่องเพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องราวทุกอย่างของมัน
ซึ่งนอกจากหนังจะทำดีในส่วนพาร์ทสืบสวนที่ชวนลุ้นแล้ว ในส่วนองค์ประกอบศิลป์ต่างๆ ทั้งงานด้านภาพ ที่สอดแทรกสัญญะต่างๆ เข้าไปมากมายเอาไว้ให้คนดูที่อยากจะดูให้ลึกลงไปอีกได้ตีความกัน รวมไปถึงการออกแบบฉากแอคชั่นแบบ Long Take ที่ทำออกมาได้ ดุเดือด ดิบถึงใจซะเหลือเกิน จนเมื่อคราใดที่ตัวเอกออกลวดลายบู๊แล้ว ก็มอบความบันเทิงให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกหนึ่งฉากที่น่าจดจำของหนังเป็นอย่างมาก ด้วยความแหวกแนวจนเป็นเอกลักษณ์ของมัน ทำให้ในระหว่างสืบไปคนดูก็ได้ลุ้นไปกับฉากแอคชั่นสุดเท่เหล่านี้ไปด้วย
นักแสดงแสดงได้อย่างดีเยี่ยมทุกคนในระดับมาสเตอร์พีช ทรงพลังและตรึงอารมณ์คนดู บทโอ แท-สึ (Choi Min-sik) ผู้น่าสงสาร แสดงออกมาทั้งท่าทางแววตา การกระทำที่ออกแนวโรคจิต-ขี้ระแวง (ผลจากการที่ติดคุกมานานถึง 15 ปี โดยไม่ได้คุยกับใครเลย) ความกลัว ความเครียด การแก้แค้นและฉากสุดท้ายที่โคตรหดหู่
ความไปสุดของทีมนักแสดง ที่ระเบิดพลังผลักดันความบ้าคลั่งให้หนังไปจนถึงขีดสุด ตั้งแต่ตัวเอก ตัวร้าย ยันตัวประกอบอื่นๆ ในเรื่องก็ล้วนแล้วแต่สร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดี จนทำให้เมื่อหนังเข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ในฉากสุดท้าย มันก็พาคนดูดำดิ่งสู่ด้านมืดของจิตใจมนุษย์ได้อย่างอำมหิตเหนือทุกการคาดเดา หรือต่อให้เดาได้ ก็ยังคงต้องดำดิ่งไปกับความมืดหม่นที่หนังมอบให้อยู่ดี จนทำให้ Oldboy ซึ่งเป็นหนังเรื่องที่ 2 ของหนังตระกูลการแก้แค้น (The Vengeance Trilogy) ของ Park Chan-wook นั้น เป็นการแก้แค้นที่บ้าคลั่งที่สุดเท่าที่หนังเรื่องนึงจะมอบให้กับเราได้เลย รับรองได้เลยว่าดูครั้งเดียวแต่จำ
อีกอย่างที่ชอบคือการพัฒนาตัวละครในหนัง ถ้าดูจะสังเกตได้ว่าโอแทซูเนี่ย จากที่พูดมากๆในตอนแรก พอผ่านไป 15 ปี เขาพูดน้อยลงมาก เอาเป็นว่าแทบไม่พูดเลย อะไรที่ไม่ใช่สาระสำคัญเขาจะไม่พูด ความเก็บกด ความแปลกประหลาดที่แสดงออกมามันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ตอนแรกแอดคิดว่าเขาไม่ได้เจอผู้คนถึงขนาดเป็นใบ้พูดไม่ได้หรือเปล่าแต่มันไม่ใช่ เขาเริ่มมีการนึกคิดมากขึ้น
นอกจากสไตล์การดำเนินเรื่องที่โดดเด่นแล้ว หนังยังมีเทคนิคหนังและการกำกับภาพที่แปลกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีลูกเล่นไม่เหมือนใคร องค์ประกอบศิลป์ในฉากต่างๆ และยังใช้สัญลักษณ์นามธรรมบางอย่างแทนที่จะสื่อเนื้อหาตรงๆ ทำให้หนังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ซึ่งปกติการใช้เทคนิคพวกนี้ มักจะไปอยู่ในหนังนอกกระแสที่ดูยากๆ แต่สำหรับ OldBoy มีสิ่งที่เป็นหนังนอกกระแสอยู่ครบถ้วน แต่สามารถคุมอารมณ์ได้เหมือนกับเราดูหนังฮอลลีวูดชั้นดีเรื่องหนึ่ง ไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลยแม้แต่ขณะเดียว หนังมีเอกลักษณ์ในการใช้มุมกล้องหนังที่ไม่ธรรมดา แม้กระทั่งฉากแอ็คชัน ก็ยังมีมุมกล้องที่แปลก มีการใช้ Long take ทำให้เห็นมุมมองการต่อสู้ที่แปลกแหวกแนวแต่สร้างสรรค์ มันส์และต่อเนื่องกว่าเดิม ค้อนอันเป็นโลโก้ของพระเอก ภาพโทนสีต่างๆ จังหวะหนัง ทำได้โดดเด่น ชัดเจนและดีเยี่ยม
จากทั้งหมดมานี้จะมีข้อเสีย เพียงบางส่วนคือ ‘บางส่วนของหนังเกินจริงเกินไป’ การกระทำของตัวละครบางตัวมันเกินความเป็นมนุษย์ มันไม่สมเหตุสมผลว่า ทำไมตัวละครนั้นต้องทำถึงขนาดนี้ แต่ว่าในจุดนี้ก็ไม่นับว่าเป็นข้อเสียสักทีเดียว เพราะ ด้วยความที่มันเกินจริง หนังเลยเล่นบดขยี้จิตใจคนดูให้แหลกเป็นเสี่ยงได้ โดยไม่ต้องมาคำนึงในส่วนนี้
เรียกว่ายอมทำส่วนที่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ให้สุดทางทำให้คนดูคล้อยตามไปกับมันซะเลย
ดนตรีประกอบก็อธิบายอารมณ์และโทนหนังได้ดี ในบรรยากาศ อึมครึม มืด อึดอัด แต่ในบางทีก็ทำออกมาในบรรยากาศที่ขัดแย้งโดยตรง ทำให้บรรยากาศหนังดูโรคจิต วิปริต ชวนฉงนยิ่งขึ้นและฉากแอ็คชัน ก็ทำดนตรีออกมามันส์ มีสไตล์ น่าประทับใจ
สำหรับ OldBoy (2003) สะกดทุกอารมณ์และขยี้จิตใจ มันเป็นหนึ่งในหนังที่สมควรเรียกได้ว่าเป็นตำนานของวงการภาพยนตร์ ด้วยความแปลกของพล็อตหนัง ความสร้างสรรค์ของผู้กำกับที่สร้างนรกบนดินมาให้เราได้ชม การทำล้าวหัวใจให้แหลกสลายแล้วซ้ำเล่า พร้อมระเบิดหัวใจคนดูให้เป็นเสี่ยงๆ พร้อมเทคนิคและการกำกับภาพอันแปลกใหม่ ฉากต่อสู้ สุดมันส์ การผสมผสานเทคนิคต่างๆที่พบในหนังนอกกระแส แต่ทำได้มันส์ ไม่น่าเบื่อเลย นักแสดงคุณภาพที่แสดงได้อย่างทรงพลัง ดนตรีประกอบอันโดดเด่นในบรรยากาศรื่นเริงท่ามกลางความหวาดกลัว ขัดแย้งและหวั่นระแวง
“สุดท้ายความแค้น ก็ไม่ทำให้ใครมีความสุข “
ไม่ว่าจะเป็นพระเอกที่น่าสงสารหรือตัวร้ายที่ต้องพบจุดจบอันน่าผิดหวัง เพราะ การหลงในความแค้น การคิดว่า ‘หากใครทำอะไรกับเราไว้ เราก็ต้องตอบแทนมันกลับอย่างสาสม’ ล้วนแต่เป็นระเบิดเวลาที่คอยทำลายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ย่อมพินาศด้วยเพลิงแค้นและเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยว