รีวิว The Thin Red Line
หนังสงครามแนวเอาชีวิตรอด ที่เหล่าทหารของเราต้องถูกส่งไปทำภารกิจเสี่ยงตายในพื้นที่สุดอันตราย อย่างเกาะร้าง ที่เต็มไปด้วยศัตรูมากมาย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่ ต้องตามไปลุ้นกันครับ หนังสงคราม คุณภาพเรื่อง The Thin Red Line ได้เข้าชิงรางวัลออสก้าถึง 7 สาขา ด้วยกัน แต่น่าเสียดาย เพราะว่าไม่ได้รับ รางวัลเลยสัก สาขา 555 ติดตามดูที่ ดูหนังออนไลน์
ชื่อเรื่อง The Thin Red Line
แนว : ดราม่า สงคราม
Director : Terrence Malick
Novel : James Jones
Screenplay : Terrence Malick
รับชมได้ที่ เว็บดูหนังฟรี
ได้ฤกษ์ลาขาดจากหนัง Terrence Malick จนได้ครับ แม้จะพึ่งดูไปสองเรื่อง (อีกเรื่องคือ The Tree of Life) หนังปรัชญาสื่อสารกับพระเจ้านี่ไม่ใช่แนวผมเลยจริง ๆ ดังนั้นรีวิวนี้ผมขอพูดถึงแค่ความงามของภาพและเรื่องราวสงครามที่ไม่ปรากฎในประวัติศาสตร์นะครับ ส่วนเรื่องปรัชญาไม่แน่ใจว่ามากน้อยแค่ไหน แต่บางอันคนธรรมดาอย่างผมก็พอเข้าใจได้ถึงการเกริ่นบ่นพระเจ้า
เหตุการณ์ฉากรบในหนังเท่าที่ผมอ่านจากหลาย ๆ แหล่งน่าจะสรุปตรงกันได้ว่า ไม่มีจริงนะครับ พูดง่าย ๆ ก็คือหนังเรื่องนี้เป็นนิยายแต่งขึ้นมาทั้งหมด
พูดถึงในแง่มุมหนังประเภทสงคราม ความยอดเยี่ยมของการถ่ายทำฉากรบ ความโหดร้ายของสงครามในหนังเรื่องนี้มีดีไม่แพ้หนังสงครามเรื่องอื่นในโลกแน่นอนครับ ฉากทหารราบรบบนเนินเขาร่วมชั่วโมงเป็นหนึ่งในฉากรบที่ยอดเยี่ยมของผมเลย งานภาพสวยมาก ธรรมชาติสวย รบกันท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่ยังแฝงความโหดร้ายของการรบราฆ่าฟันกันของทั้งสองฝ่าย
งานภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของผลงาน Terrence Malick ไปแล้ว การจัดแสง มุมกล้อง ขนาดหนังสงครามยังงานภาพอย่างกับสารคดีท่องเที่ยวป่าเขาเลยครับ
ส่วนความเป็นหนังดราม่า โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกถึงความดราม่าสักเท่าไร เนื้อเรื่องของบางตัวละครมันขาดความลึกให้เรารู้สึกร่วมไปด้วย ในขณะเดียวกันบางตัวที่ดูจากเรื่องราวแล้วมันน่าจะเรียกอารมณ์คนดูได้แต่หนังกลับทำไม่ถึง ปรัชญา พระเจ้า ศาสนาในหนังจะพูดผ่านเสียงบรรยายความคิดตัวละครที่คำพูดโคตรจะเป็นกวีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปพูดหรือคิดกัน บ่นถึงสงครามเป็นด้านมืดของพระเจ้าบ้าง บ่นว่าความอยู่รอดในสนามรบเป็นเรื่องของดวงบ้าง และอีกหลายอย่างที่ผมไม่สามารถเข้าใจลึกซึ้ง ฮ่า ๆ
ที่โกรธมากอีกอย่างคือรายชื่อหนังรวมถึงบนโปสเตอร์ขายนักแสดงมาก ๆ มีชื่อนักแสดงระดับ George Clooney แต่ป๋าจอร์จโผล่มาอยู่แค่ 5 วินาทีเอง (ปี 1998 ป๋าจอร์จก็มีชื่อเสียงระดับหนึ่งแล้วนะ) บทตัวประกอบขนาดนี้ไม่ต้องติดบนโปสเตอร์ก็ได้นะฮะ
รีวิว The Thin Red Line ความเป็นมาและเนื้อเรื่องย่อ
หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ออกฉายในปี 1998 ซึ่งเป็นปีเดียวกับหนังระดับตำนานของพ่อมดฮอลลีวูด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกันอย่าง “Saving Private Ryan” ทำให้ยากที่จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ผู้กำกับ เทอร์เรนซ์ มาลิค ต้องการนำเสนอในหนังของเค้านั้นแตกต่างจากหนังของ สปีลเบิร์กอย่างสิ้นเชิง
ผลงานการกำกับและเขียนบทของ Terrence Malick แสดงโดยดารามากหน้าหลายตา ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีใครเป็นตัวเอก บทถูกเฉลี่ยนและบอกเล่าผ่านหลายตัวละคร หนังความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง บอกเล่าเรื่องราวที่บอกเล่าถึงกองร้อยชาลี ที่ถูกส่งไปยังเกาะแห่งหนึ่งที่มหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีภารกิจให้ยึดและทำลายฐานที่มั่นของญีุ่่ปุ่น เพื่อสะกัดกั้นการเคลื่อนทัพของกองทัพญี่ปุ่น
ทว่าเรื่องราวกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะกองร้อยชาลีต่างเสียกำลังคน กำลังทหาร ไปมากมาย นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็กดดันพยายาม บีบให้ยึดที่มั่น ให้ได้ไม่ว่าจะเสียทหาร ไปกี่นายก็ตาม (เห็นแก่ตัวสุดๆ) เหตุการณ์นั้น ทำให้เกิดคำถาม ปัญหา ความขัดแย้งมากมาย และเมื่อยึดสำเร็จมันกลับไม่ได้น่ายินดีอย่างที่พวกเขาคิด สิ่งตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่ ที่เราทำกันอยู่นี้คืออะไร สงครามล้วนมีแต่ความโหดร้าย ไม่เพียงแต่ภายนอก มันยังส่งผลถึงจิตใจอย่างรุนแรง
ถ้าคุณคาดหวังจะพบเห็นระเบิดตูมตาม Special Effect อลังการบ้าคลั่ง อะดรีนาลีนสูบฉีดไหลหลั่ง ให้ข้ามผ่านหนังเรื่องนี้ไปเลยนะครับ, ไม่ใช่ว่าหนังไม่มีอะไรแบบนั้นนะ แต่มันหาใช่สาระสำคัญของหนังไม่ (เป็นสิ่งที่ใช้ประกอบฉากให้มีความสมจริงเท่านั้น) นี่เป็นหนังที่ต้องใช้สมองครุ่นคิดค้นหา สังเกตตีความ วิเคราะห์ทำความเข้าใจ ถึงสามารถรับรู้ข้อคำถาม ความตั้งใจของผู้กำกับได้ ใช่ว่าทุกคนจะสามารถดูหนังเรื่องนี้รู้เรื่อง
ใน Saving Private Ryan สร้างความให้รู้สึกรักชาติแบบอเมริกันฮีโร่, ฉากสงครามแอ็คชั่นที่สมจริง, เนื้อเรื่องนำให้ผู้ชมอินเข้าถึงอารมณ์ร่วมได้อย่างดี แต่กับ The Thin Red Line เรื่องนี้ กลับแทบจะไปตรงกันข้ามทั้งหมด ที่สื่อไปแนวทาง ปรัชญาเสียมากกว่า ที่ออกไปทาง ต่อต้านสงครามเสียด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นความขัดแย้งของภาพธรรมชาติสวยๆ กับ การทำลายล้างกันเองของมนุษย์ด้วยกัน, การเข้าใจจิตใจคน, การสูญเสีย และ การเสียขวัญ ในสงคราม (เรื่องนี้ก็เป็นหนังอีกเรื่องจากเรื่องที่แล้ว ที่สร้างหนังสงครามออกมาแนว แอนตี้สงครามครับ) ดูเหมือนช่วงนี้ผมจะอินกับอะไรแบบนี้
ผมนิยามว่าเรื่องนี้เป็นหนังสงครามภาพสวย ที่มีจุดเด่นมากๆ ในเรื่องภาพธรรมชาติที่งดงาม ไม่บ่อยครับที่เราจะได้เห็นหนังสงครามที่มีฉากทหารค่อยๆ ลัดเลาะไปในพงหญ้าหนาทึบ ซึ่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ดูแล้วก็รู้สึกสะเทือนสะท้อนใจไม่น้อยเหมือนกันครับ เพราะท่ามกลางภาพสวยงามของต้นไม้ใบหญ้าที่ลู่ไปตามลม เราก็จะได้เห็นภาพการฆ่าฟันอันโหดร้ายของสงคราม
สาระหลักของหนัง ก็คือการประกาศให้เรารู้อีกครั้งครับ ว่าสงครามมันไม่ได้ให้อะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดและสูญเสีย มีคนมากมายต้องตายและต้องฆ่ากัน อีกทั้งมันจะเป็นดั่งยาพิษที่จะไหลเวียนอยู่ในใจของทหารอีกหลายๆ นาย ที่ใช้คำว่า “อีกครั้ง” ก็เพราะมีหนัง, หนังสือ, สื่อ, ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มากมายเหลือเกินที่บอกย้ำให้เรารู้ถึงประเด็นเหล่านี้
ความรู้สึกส่วนตัวหลังดูจบ
ถ้าถามผม สำหรับผม ผมชอบครับ แม้จังหวะหนังจะเนิ่บมากก็ตาม แต่ผมชอบหนังที่มีภาพธรรมชาติสวยๆ อยู่แล้ว เลยรู้สึกอิ่มระหว่างดู ขณะเดียวกันในแง่การนำเสนอความโหดร้ายของสงครามได้อย่างน่าพอใจทีเดียว สื่อออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อีกอย่างคือดาราเยอะดีครับ แม้จะโผล่กันคนละนิดละหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นจุดที่ดึงดูดผู้ชมได้ดี ดูแล้วไม่เบื่อ มีความหลากหลายอยู่ตลอดเวลา
ผมเชื่อว่าหลายคนจะเบื่อหนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันเนิ่บ เหมือนเป็นหนังสงครามชมนกชมไม้ ไม่ได้เร้าใจหรือมีการบีบสถานการณ์ให้เกิดดราม่า ดังนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนครับ แต่หากใครชอบภาพธรรมชาติสวยๆ ภาพใบหญ้าสูงท่วมหัว, ภาพแมกไม้และทิวเขาล้อเล่นลม ฯลฯ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะจุใจสำหรับท่านแน่นอนครับ
การดำเนินเรื่อง ผู้สร้างได้ใช้การเล่าจากมุมมองของตัวละครหลายๆ คนผลัดเปลี่ยนกันไป ในระหว่างการรบก็มักจะมีการสลับภาพระหว่างฉากสงครามที่กำลังดำเนินอยู่อย่างโหดร้ายกับภาพของสัตว์ป่า ต้นไม้ใบไม้ และภาพความหลังของ Witt ขณะอยู่กับแม่และภรรยา ในส่วนของภาพ ธรรมชาตินั้น ในภาพยนตร์เรื่องอื่น อาจเห็นธรรมชาติป่าเขาเป็นเพียงฉากในการสู้รบธรรมดา แต่สำหรับเรื่องนี้แล้ว ค่อนข้างชัดว่าธรรมชาติอันมีความงดงามและสันติสุขนั้น ได้ถูกรบกวนโดยมนุษย์สองฝ่ายที่จับปืนยิงกันอย่างขนานใหญ่ คงจะได้เห็นภาพธรรมชาติที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง ไปดูที่ ดูหนังออนไลน์4k
ด้านข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นั้น ในวิกิไม่มีรายละเอียดของนิยายมากนัก ในศึก Guadalcanal ก็ไม่กล่าวถึงเนิน 210 นี้ แต่ผมจะพูดถึงตัวละครในเรื่องอยู่เหมือนกันว่ามีตัวตนจริงและมีการเลื่อนยศกันอย่างไร รวมถึงวิจารณ์ ว่าในสงคราม จริงโอกาสที่ จะได้พวกพี่ยุ่นมาเป็นเชลยจำนวนมากอย่างในหนังนั้นยาก เพราะพี่แกถูกปลูกฝังมาในเรื่องศักดิ์ศรีกับความเชื่อว่าพวกฝรั่งนั้นโหดร้าย จึงมักจะสู้จนตัวตาย ซึ่งในสงครามที่ Guadalcanal นั้น ทหารกว่าสามหมื่นนายได้ยอมสู้ตายกันเกือบหมดเลยครับ
สรุปแล้ว ไปดูเถอะครับ นายพลรีวิว คอมเฟิมว่า เรื่องนี้ คุณดูแล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน หากชอบบทความรีวิวหนังสงครามแบบนี้ ติดตามที่ รีวิวหนังสงคราม