รีวิว The Witcher

หนังเรื่องนี้สร้างโดยดัดแปลงมาจากหนังสือนิยาย ต่อมาก็ได้นำมาเป็นสุดยอดเกมชื่อดัง จนสุดท้าย ทาง Netfilx ก็ได้ซื้อมาทำเป็นซีรี่ส์ให้เราได้ดูกัน ติดตามรับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องบอกไว้ก่อนว่าในเวอร์ชั่นซีรีส์นั้น ได้มีการยำเอาเรื่องราวของเกมทุกภาคมาใส่ และยังมีกลิ่นอายของนิยายต้นฉบับลงไปอีก เพื่อเพิ่มความแตกต่างที่น่าสนใจไม่จำเจ ดังนั้นหากจะให้เปรียบเทียบเนื้อเรื่องจะค่อนข้างยากหรือกล่าวง่ายๆคือไม่สามารถเอาเนื้อเรื่องมาประติดประต่อหรืออ้างอิงกันได้

 

รีวิว The Witcher-2

 

หากใครเคยมีพื้นฐานจากนิยาย หรือเกมมาก่อนแล้วนั้น ผมเลยอยากจะแนะนำว่าให้ดูซีรีส์แบบแยกเป็นเอกเทศน์ไปเลย พร้อมไม่อยากนั้นหากคุณนำฉากนี้ฉากนั้นไปเปรียบเทียบ หรือวิเคราะห์อะไรให้มันมากเรื่อง จะทำดูไม่สนุกซะเปล่า ง่ายๆดูโดยคิดว่ามันเป็นซีรีส์เดี่ยวของมันไปเลย และมีตัวละครคุ้นหน้าคุ้นตาจากในเกม หรือหนังสือนิยายมามาเป็นพื้นฐานเท่านั้น

แต่เดิม The Witcher เคยเป็นทั้งนิยายแฟนตาซีดังระดับสร้างตำนานของ อังเดร ซับคาวสกี นักเขียนชาวโปแลนด์ แต่ถึงอย่างนั้นกลับกลายเป็นฉบับเกมต่างหากที่ช่วยสร้างชื่อให้ The Witcher ชื่อดังก้องโลก ด้วยเนื้อหาที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน การออกแบบคาแรกเตอร์ ทำได้โคตรเท่ โคตรอันตราย

รวมไปถึงความสนุกและความยากของเกมที่ทำให้ผู้เล่นใช้เวลาในการเคลียร์เกมเป็นร้อยชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่า ต้นธารและไอเดียของคาแรกเตอร์ ไปจนถึงการดำเนินเรื่อง ก็รับอิทธิพลจากเกมมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนผลลัพธ์ของมันก็ออกมาเหมือนเราได้เล่นเกมตะลุยด่านค่อยๆผจญภัยไปในเนื้อเรื่องทีละนิดๆเลย

โดยในแต่ละตอนโครงสร้างการดำเนินเรื่องจะเหมือนกับเวลาเปิดเกม เช่นจะมีคนมาบอกภารกิจตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งมาในรูปแบบของป้ายประกาศที่ติดตามสถานที่ หรือเป็นซีนที่ เกรอลด์ เข้าพบคนมอบหมายภารกิจเลย ซึ่งก็ถือเป็นการดึงจุดเด่นของเกมมาใช้ได้ดี

แถมบางตอนซีรีส์ยังใช้ประโยชน์จากรูปแบบการเล่าเรื่องนี้ในการย่นย่อเรื่องราวให้กระชับขึ้นผ่านปากตัวละครไปเลย แต่กระนั้นในอีกด้านหนึ่งการที่มันใช้การดำเนินเรื่องเหมือนเกมก็ทำให้คนดูไม่อาจยึดโยงกับเป้าหมายที่แท้จริงของตัวละครได้เหมือนกัน

ซีรีส์เรื่อง : The Witcher | เดอะวิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร 

ปีที่ออกอากาศ : 2018

ประเภท : แฟนตาซี, แอ็คชั่น, สร้างจากหนังสือ, ดราม่า, เวทมนตร์, ผจญภัย, ย้อนยุค

ทีมผู้สร้าง : ลอเรน ชมิดด์ ฮิสส์ริช

นักแสดง : เฮนรี คาวิลล์, อันย่า ชาโลทรา, เฟรย่า แอลลัน, โจอี้ เบทีย์, เอมอน ฟาร์เรน, มายแอนนา เบอริง, มีมี เอ็ม คายีชา

ระยะเวลาการรับชม : 8 ตอน ตอนละประมาณ 60 นาที

ช่องทางการรับชม : Netflix / ดูหนังออนไลน์

ภาษาในการรับชม : เสียงพากย์ : ไทย, อังกฤษ, ญี่ปุ่น | คำบรรยาย : ไทย, อังกฤษ, จีน

ระดับความเหมาะสม : เหมาะสำหรับผู้ชมอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

 

 

รีวิว The Witcher เนื้อเรื่องในภาคซีรี่ส์มีเนื้อหาอย่างไร

เรื่องราว ในโลกแฟนตาซีมืดยุคกลางที่ปกครองเหล่ากษัตริย์, ราชินี และกลุ่มผู้วิเศษ ที่ต่างฝ่ายต่างเห็นประโยชน์ของตนเป็นหลัก โดยเล่าผ่านตัวละคร

เกรอลด์ นักล่าอสูรเผ่าวิทเชอร์ ได้ออกเดินทางเพื่อเติมเต็มชะตากรรมแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้ช่วยชีวิตลอร์ดเออร์ชอนแห่งเออร์เลนวอลด์ พ่อของซิริ และได้รางวัลเป็นการแทนคุณแบบไร้เงื่อนไข ซึ่งเป็นการให้สิ่งที่มีอยู่แล้วแต่ไม่รู้ตัวว่ามีอยู่ แก่ผู้รับรางวัล และในขณะนั้นแม่ของซิริกำลังตั้งท้องเธอพอดีซึ่งไม่มีใครรู้ ซิริจึงกลายเป็นรางวัลแก่เกรอลท์นั่นเอง แต่เขาก็ปฏิเสธการรับรางวัลและใช้ชีวิตปกติออกผจญภัยตามล่าอสูรต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไป 12 ปี อาณาจักรซินทราต้องล่มสลายเมื่อนิล์ฟการ์ดบุกเข้ามาทำลาย นิล์ฟการ์ดต้องการครอบครองพลังซ่อนเร้นของซิริ เพื่อควบคุมมหาทวีป ซิริจึงต้องหนีระหกระเหินไปในป่าเพื่อตามหาเกรอลท์แห่งริเวีย จากการเดินทางผจญภัยตามล่าหาอสูรของเกรอลท์  ทำให้เกิดเหตุการณ์ การปกป้องเด็กสาวที่เขาจะพบในป่าตามคำทำนาย ซึ่งเด็กสาวคนนั้นก็คือ ซิรี เจ้าหญิงแห่งซินตราที่ต้องลี้ภัยสงครามล่าอาณานิคมโดยกองทัพแห่งนิล์ฟการ์ด โดยเธอยังต้องค้นหาความลับของพลังลึกลับที่ครอบครัวเก็บงำเอาไว้

 

 

และตัดไปอีกด้านยังมี เยนนิเฟอร์ จอมเวทย์สาวสุดแกร่งผู้ยอมแลกโอกาสในการมีลูกกับความงามที่เธอไม่ต้องทนทรมานกับการที่หลังคดงอน่ารังเกียจอีกต่อไป เธอเป็นหญิงสาวเชื้อสายเอลฟ์ที่เคยมีหน้าตาอัปลักษณ์หลังค่อม การมีเลือดเอลฟ์ทำให้เธอมีพลังเวทมนตร์ แต่เพื่อหน้าตาที่สวยงามและการมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่เธอยอมสละความสามารถในการมีบุตรเพื่อแลกมา ความสัมพันธ์ของเกรอลท์และเยนเนเฟอร์ลึกซึ้ง แต่สุดท้ายไม่อาจลงเอยกันได้ ทำให้ทั้งสองแยกทางกันและจบซีซั่นด้วยสงครามระหว่างนิล์ฟการ์ดและกลุ่มภาราดร ที่ซอดเดน ฮิลล์

งานนี้นอกจากเหล่าปีศาจที่ วิทเชอร์ อย่าง เกรอลด์ ต้องจัดการแล้ว การตามหา ซิรี ยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้โลกใบนี้รอดพ้นอันตรายไปได้

ตัวซีรีส์ในซีซั่นแรกนั้นจะเล่าเรื่องราวของ 3 ตัวละครหลัก ๆ แต่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี นั่นคือ เกรอลต์ , ซิรี และ เยนนิเฟอร์ ด้วยการเล่าเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่าง 3 ตัวละครใน 1 ตอน ถือว่าเป็นการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนสลับไปมาและเป็นจุดเด่นที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าค้นหามากกว่าการดำเนินเรื่องแบบผจญภัยโต้งๆ และที่สำคัญซีรีส์ยังเล่าเรื่องโดยใช้พื้นฐานทั้งจากนิยายและเกมผสมกัน นั่นจึงทำให้คนที่ไม่เคยเสพทั้งสองอย่างมาก่อน อาจจะต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงเหตุการณ์นิดนึง แต่รับรองได้ว่าคุณจะรู้สึกคุ้มค่าในการปรับตัวครั้งนี้ครับ

ตัวละคร เกรอลต์ นั้นในช่วงแรกจะเล่าถึงชีวิตนักผจญภัยของเขา คอยรับภารกิจไล่ล่าปีศาจไปเรื่อย ใช้ชีวิตสมกับเป็นวิชเชอร์ และที่ต้องชมเลยจริง ๆ คือการสวมบทบาทเป็น เกรอลต์ ได้อย่างยอดเยี่ยมของนักแสดงอย่าง Henry Cavill เพราะไม่ว่าจะเป็นท่าทาง ลีลาการแอ็คชั่น หรือแม้กระทั่งเสียงนั้น แทบจะถอดแบบจาก เกรอลต์ ในเวอร์ชั่นเกม The Witcher 3 มาแบบทื่อๆเลย โดยเฉพาะเสียงโต้งๆพูดที่ทำเอานึกว่าเปิดเกมเล่นเองมากกว่าดูเวอร์ชั่นซีรีส์ซะอีก เพราะพี่แกก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับตัวยงของเกมนี้เช่นกัน

การเล่าเรื่องของซีรีส์ในช่วงแรกอย่างที่บอกว่ามันไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่สักเท่าไร นอกจากความเรื่อย ๆ ของการเล่าเรื่อง ที่อาจทำให้ผู้ชมง่วงนอนกันบ้าง กว่าเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้าที่เข้าทางและน่าติดตาม ก็อาจจะต้องใช้เวลาสักตอนสองตอน ก่อนที่ทุกตัวละครจะมีเส้นทางมาบรรจบกันในช่วงท้าย ถือว่าแม้จะมีปัญหาในด้านการเล่าเรื่องช่วงต้น ปัญหานี้ก็เป็นปัญหายอดฮิตของซีรี่ส์หลายๆเรื่อง แต่หากผ่านพ้นช่วงแรกไปได้ ก็อาจจะเพลินจนหลงเวลาไปเลยก็เป็นได้

 

รีวิว The Witcher-5

 

ความรู้สึกหลังดูซีรี่ส์เรื่องนี้ มาดูกันเลยกว่าครับว่าเป็นอย่างไร

อย่างที่บอกว่าซีรีส์นั้นนำเสนอเรื่องราวผ่านสามตัวละคร ทำให้สถานที่หลัก ๆ ที่เราได้เห็นตัวละครแต่ละตัวผจญภัยไปนั้นแตกต่างกันไป เกรอลต์ จะต้องบุกป่าฝ่าดง รับมือกับปีศาจ มีบ้างที่ต้องไปพัวพันกับราชวงศ์ (แบบที่เราเห็นกันในเกม) ในขณะที่ เยนนิเฟอร์ จะถูกเล่าเรื่องราวผ่านสถานที่ที่ชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่แรกจนกระทั่งได้กลายเป็นจอมเวทและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตรายต่าง ๆ ซึ่งส่วนนี้มีการยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาบนซีรีส์นี้โดยเฉพาะ ส่วน ซิรี ต้องหนีตายจากการถูกอาณาจักรนิล์ฟการ์ดไล่ล่า

อย่างที่บอกว่าซีรีส์นั้นนำเสนอเรื่องราวผ่านสามตัวละคร ทำให้สถานที่หลัก ๆ ที่เราได้เห็นตัวละครแต่ละตัวผจญภัยไปนั้นแตกต่างกันไป เกรอลต์ จะต้องบุกป่าฝ่าดง รับมือกับปีศาจ มีบ้างที่ต้องไปพัวพันกับราชวงศ์ (แบบที่เราเห็นกันในเกม) ในขณะที่ เยนนิเฟอร์ จะถูกเล่าเรื่องราวผ่านสถานที่ที่ชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่แรกจนกระทั่งได้กลายเป็นจอมเวทและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันตรายต่าง ๆ ซึ่งส่วนนี้มีการยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาบนซีรีส์นี้โดยเฉพาะ ส่วน ซิรี ต้องหนีตายจากการถูกอาณาจักรนิล์ฟการ์ดไล่ล่า

 

 

คือเรื่องความเป็นมาของเยนนิเฟอร์ การผจญภัยของเกรอลท์ และการหลบหนีของซิริ ก่อนจะมาบรรจบกันในตอนท้าย ซึ่งพอจับตรงนี้ได้ปุ๊บ ลื่นเลยทีนี้ เพราะแต่ละพาร์ทเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม ขนาดตอนที่ยังประติดประต่อเรื่องราวไม่ได้ยังรู้สึกว่าแต่ละพาร์ทนี่มันสนุกมาก

ในแต่ละสถานที่ที่ตัวละครทั้งสามไปเผชิญหน้า จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นทำให้เราจะเห็นได้ถึงความหลากหลายของสถานที่ ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงคุณภาพของตัวซีรีส์ แม้ว่าเบื้องหลังส่วนมากอาจจะเป็นกรีนสกรีนอย่างที่เราน่าจะเดากันได้ แต่ก็ยังถือว่าทำออกมาสวยงามและสมจริงเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงส่วนของซีจีที่ใช้สร้างเหล่าศัตรูเหนือธรรมชาติ ที่ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน

เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนมหาทวีปที่มีอาณาจักรต่าง ๆ รบพุ่งกัน โดยเฉพาะอาณาจักรซินทราที่ถูกโจมตีโดยอาณาจักรนิล์ฟการ์ดจากทางใต้ ซึ่งมีแผนจะบุกยึดครองทั้งมหาทวีป เหล่าผู้วิเศษและคนที่รอดจากสงครามจึงต้องร่วมกันหยุดการแผ่อำนาจในครั้งนี้

 

 

ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่ต้องบอกว่ามาพร้อมกับความโหดร้ายและรุนแรงมาก นอกจากจะเลือดสาดแล้วยังขาขาดแขนขาดกระจายแบบไม่มีเซ็นเซอร์ใด ๆ นอกจากความโหดและความรุนแรงแล้ว ฉากแอ็คชั่นยังถูกถ่ายทอดออกมาได้ดุดิบมาก และการต่อสู้ของแต่ละคนก็ถอดแบบออกมาจากเกมได้ดี เช่น เกรอลต์ ก็จะเน้นใช้ดาบและคาถาเวทย์ และบางทีก็มีการใช้ขวดยาเสริมพลัง ซึ่งตรงนี้ก็ยังต้องย้อนกลับไปชม Henry Cavill กันอีกรอบที่สามารถโชว์ลีลาแอ็คชั่นได้เหมือนกับในเกมแทบจะไร้ที่ติ (เชื่อแล้วที่เป็นแฟนเกมตัวยง)

หรืออย่าง เยนนิเฟอร์ ที่ใช้พลังเวทย์มนตร์ ถึงจะมีบางฉากที่หลุดๆลอยๆอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ยังได้มาตรฐานซีรีส์ทุนสูงจาก Netflix เรียกได้ว่าปัญหาในการนำเสนอนั้นมีค่อนข้างน้อย อย่างที่บอกว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าเปิดใจและตั้งใจดูจริงๆก็น่าจะเข้าใจได้โดยไม่ยากนัก

แต่ที่ชอบที่สุดคือพาร์ทล่าสัตว์ประหลาดของเกรอลท์ ได้เห็นเฮนรี แควิลล์ หลุดจากบทซูเปอร์แมนมาเป็นนักล่าอสูร ดูแปลกตาแต่หากจะไม่บอกว่าไม่เท่ก็คงไม่ได้ คาแร็คเตอร์ตัวละครในเกมเลย เหมือนเป๊ะ แล้วฉากใช้ดาบของแกนี่ดุดันจริง ๆ แต่เสียดายที่ใช้เวทมนตร์น้อยไปหน่อย ไม่งั้นน่าจะได้เห็นฉากตื่นเต้นกันมากกว่านี้

ข้อเสียของเรื่องนี้ก็มีนะครับ คงจะเป็นการกำกับการแสดงและงานภาพนี่แหละ โดยภาพรวมแล้วจุดบอดของซีรีส์ชุดนี้นอกจากตรรกะของบทที่เล่นกับความงงของเกม ก็คงจะเป็นการที่ตัวละครไร้อารมณ์เหมือนกันไปเสียหมด ยิ่งถ้าใครฟังเสียงตัวละครต้นฉบับจะพบว่าทุกตัวละครแทบจะใช้โทนเสียงเดียวกันและไม่มีบุคคลิกใดที่โดดเด่นหรือเป็นที่จดจำเท่าใดนัก หรือไม่แน่ก็อาจจะจงใจคุมโทนรึเปล่า ยังดีที่ในส่วนการแสดงได้ เฮนรี คาวิล ที่แม้จะยังไม่ได้โชว์ฝีมือด้านดราม่าเท่าไหร่

แต่เราก็ต้องยอมรับว่าการปรากฎตัวพร้อมหุ่นล่ำ ๆ ฉบับซูเปอร์แมนของเขามารับบท เกรอลด์ น่าจะพอทำให้สาว ๆ ติดตามเรื่องราวที่ซับซ้อนและดูบอย ๆ แบบนี้ได้บ้าง รวมถึง อันยา ชาโลตรา นักแสดงสาวชาวอังกฤษในบทเยนนิเฟอร์ที่นอกจากความสวยแล้ว ความใจกล้าของเธอยังน่าจะทำให้หนุ่มได้คอแห้งกันบ้างแหละ แม้หลายครั้งจะไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาต่อสู้กับมนตร์ดำแล้วเสื้อต้องหล่นมาโชว์หน้าอกอยู่เรื่อยก็ตาม

ซึ่งพอพูดถึงเรื่องแนวแฟนตาซีพีเรียตและฉากโป๊ก็ต้องกล่าวว่าต้องเป็น Game of Thrones และแน่นอนแหละว่างานวิชวลของ The Witcher เองก็ไม่ได้หนีจากซีรีส์ชิงบัลลังก์เรื่องดังที่เรากล่าวไปแล้วเท่าใดนัก จนเราอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ทั้งงานออกแบบงานสร้างและการต้องมีฉากขายความเซ็กซี่ แต่ถ้าพูดกันตามตรงก็นะ เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกครับ

สรุปแล้ว The Witcher คือซีรีส์ที่ดูสนุกได้แต่ก็ต้องอาศัยความอดทนและใจรักในการดูเพราะเนื้อหาค่อนข้างซับซ้อนและการเดินเรื่องแบบไม่ลำดับเวลา ซึ่งทำให้เราต้องเขาให้เนื้อหาของโครงเรื่องอย่างละเอียด แต่สำหรับแฟนๆนิยายหรือคอเกมที่ชอบเรื่องราวอะไรที่สลับซับซ้อนแฟนตาซีอยู่แล้ว เรื่องนี้คงถูกใจแน่นอนครับ

 

หากชอบบทความนี้ หรืออยากอ่านรีวิวหนัง สปอยหนัง เรื่องอื่นๆ ติดตามได้ที่ สปอยหนังดี

 

ใส่ความเห็น