รีวิว Wind River
เรื่องราวกล่าวถึงคดีการฆาตกรรมปริศนาที่เกิดขึ้นในทุ่งน้ำแข็งใกล้กับเขตที่อยู่อาศัยของชนเผ่าอินเดียนแดง นำไปสู่การตามไขคดีของเจ้าหน้าที่ FBI และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ที่พาไปถึงต้นตอของอันตรายบางอย่างที่พร้อมจะพรากเอาชีวิตของผู้อื่น Wind river เป็นเรื่องราวของ “คอรี่” นายพรานนักล่าที่อาศัยอยู่แถวๆเขต วินริเวอร์ ที่อยู่ของกลุ่มอินเดียนแดง วันหนึ่ง คอรี่ ได้พบเจอกับศพหญิงสาวก็คือ นาตาลี ลูกสาวเพื่อนสนิทของเขา ทำให้ คอรี่ได้ร่วมงานกับ “เจน” FBI สาวที่ต้องลงมาทำคดีในเมืองที่หนาบเหน็บจนไข่ชา เจน ฟันธงว่าเป็นการฆาตกรรมแน่นอนทำให้ เธอและคอรี่ร่วมมือการสืบเสาะหาตัวคนร้าย จนได้ไปพบเจอกับบทสรุปการฆาตกรรมที่แม่งโคตรเลวและเหี้ยยย ในอารมณ์ที่น่าสะพรึงสุดๆ เว็บดูหนัง
Wind river เป็นเรื่องราวของ “คอรี่” นายพรานนักล่าที่อาศัยอยู่แถวๆเขต วินริเวอร์ ที่อยู่ของกลุ่มอินเดียนแดง วันหนึ่ง คอรี่ ได้พบเจอกับศพหญิงสาวก็คือ นาตาลี ลูกสาวเพื่อนสนิทของเขา ทำให้ คอรี่ได้ร่วมงานกับ “เจน” FBI สาวที่ต้องลงมาทำคดีในเมืองที่หนาบเหน็บจนไข่ชา เจน ฟันธงว่าเป็นการฆาตกรรมแน่นอนทำให้ เธอและคอรี่ร่วมมือการสืบเสาะหาตัวคนร้าย จนได้ไปพบเจอกับบทสรุปการฆาตกรรมที่แม่งโคตรเลวและเหี้ยยย ในอารมณ์ที่น่าสะพรึงสุดๆ เมื่อ คอรี่ (เจเรมี เรนเนอร์) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ประจำเขตวินด์ริเวอร์ได้พบศพของนาตาลี (เคลซี อัสบิล) ลูกสาวของเพื่อนรักชาวอินเดียนแดง จนได้ร่วมมือกับ เจน (อลิซาเบธ โอลเซ่น) เอฟบีไอสาวที่ต้องมาทำคดีในดินแดนที่เธอไม่คุ้นเคย
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้หนังเรื่องนี้ น่าสนใจ คือหนังอ้างอิงอีกบางส่วนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เนื้อเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ใน Wind River เมืองเล็กๆห่างไกลความเจริญที่อาศัยของชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง ตัวเอก ‘คอรี่’ จนท. กรมสัตว์ป่าที่เจอศพของวัยรุ่นสาวอินเดียนแดงนอนตายอยู่กลางหิมะ จึงต้องร่วมมือกับ ‘เจน’ FBI สาวอ่อนประสบการณ์ที่ถูกส่งมาเพื่อสืบสวนคดี
สิ่งที่ทำให้เนื้อหาของ wind river มันดูหนัก ก็เป็นเพราะมันได้แรงบัลดาลใจมาจากเรื่องจริง ของพวกผู้หญิงชาวอินเดียนแดงที่มักหายตัวไปอย่างลึกลับในตลอดระยะเวลาหลังๆมานี้ หนังพยายามสื่อให้เห็นถึงความหม่นของผู้คนที่นั้นว่ามีความรู้สึกแบบไหน และมันก็เป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น เว็บดูหนังฟรี ซึ่งการได้ไปฟังข้ออ้างของคนร้ายนี่คือแม่งโคตรเห็นแก่ตัวเลยนะ คือแบบอยากจะกระโดดขาคู่ทะลุจอไปถีบยอดหน้าแม่งซักที
ผลงานของผู้กำกับ เทย์เลอร์ เชอริแดน ส่วนใหญ่คือการเขียนบทซึ่งมีผลงานโดดเด่นระดับเข้าชิงออสการ์อยู่ 2 เรื่องได้แก่ Sicario (2015) ที่กล่าวถึงการตามล่าหัวหน้าค้ายาในชายแดนเม็กซิโก และ Hell or High Water (2016) ที่กล่าวถึงคู่พี่น้องที่ยอมเป็นโจรเพื่อพิทักษ์ที่ดินมรดกสุดท้ายของพวกเขาในเท็กซัสตะวันตก และพอถึงผลงานกำกับจากบทตัวเองอย่าง WIND RIVER ก็สังเกตได้ไม่ยากว่า เชอริแดน ยังคงให้ความสนใจกับประเด็นการเมืองของคนชายขอบที่คราวนี้การเลือกเล่าเรื่องใน วินด์ริเวอร์ แหล่งอาศัยของชาวอินเดียนแดงที่ต้องทนกับสภาพความหนาวเหน็บระดับที่ตัวละครต่างเรียกที่นี่ว่า “นรกแช่แข็ง” โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การตายของเด็กสาวชาวพื้นเมือง
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ WIND RIVER โดดเด่นจากหนังสืบสวนสอบสวนที่สร้างกันมาจนเกร่อคงหนีไม่พ้นการพูดถึงระบบราชการที่มีความซับซ้อนและบ่อยครั้งที่ความยุติธรรมก็อาจละเลยหรือหลงลืมชาวพื้นเมือง ตามที่หนังให้ข้อมูลในเครดิตท้ายเรื่องว่ามีชาวอินเดียนแดงที่หายสาบสูญไปเป็นจำนวนมากโดยมีฉากหลังเป็นเมืองที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนและมีสภาพอากาศหนาวเหน็บก็ยิ่งทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงความคลุมเครือทั้งจิตใจมนุษย์และเส้นแบ่งระหว่างความยุติธรรมกับจรรยาบรรณที่ดูจะพร่าเลือนยิ่งนัก
รีวิว Wind River เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ
เปิดเรื่องมาก็กระตุกคนดูแบบไม่ปราณี สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้ดินแดนสีขาวหนาวเหน็บที่หิมะปกคลุมแห่งนี้ ความรุนแรงและเด็ดขาดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการอยู่รอด หลังจากนั้นจึงค่อยๆเผยตัวละครหลักและรอง แม้ช่วงแรกจะเนิบนาบแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ มีฉากกระตุ้นคนดูเป็นระยะ จนครึ่งหลังที่เริ่มจะเดินหน้าไปยังบทสรุปของคดี ค่อยๆกระตุ้นอะดรีนาลีนคนดูให้ค่อยๆพีค จนไปสุดแบบสะใจคนดูมากๆ ตอนไคลแม็กซ์ ดูหนังฟรี
ถ้าอนาคตมีการพูดถึงหนังไตรภาคยอดเยี่ยมคงต้องบรรจุ ‘ the American Frontier Trilogy’ ของเทย์เลอร์ เชอริแดน ลงไปในลิสต์ด้วยแล้วล่ะ เพราะทั้ง Sicario, Hell or High Water, และ Wind River ล้วนเป็นผลงานระดับขึ้นหิ้งที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตผู้คนชายแดนตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาออกมาเป็นหนังได้อย่างเฉียบแหลม ซึ่งเราเชื่อว่าหนังเรื่องนี้น่าจะไปไกลถึงการเข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเพราะหนังฉลาดเล่ามาก ๆ สามารถพาคนดูเข้าถึงความเป็นแดนใต้ถิ่นอินเดียนแดงในยุคใหม่ อีกทั้งประเด็นที่เชอริแดนต้องการนำเสนอนั้นยังถูกบอกเล่าอย่างชาญฉลาดด้วยการสอดแทรกไปกับสไตล์ทริลเลอร์สุดเยือกเย็นสมกับที่ได้เห็นหิมะขาวโพลนตลอดทั้งเรื่อง
นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นแต่เป็นหนังสืบสวนกึ่งดราม่า ภายใต้เปลือกนั้นหนังสะท้อนปัญหาการแบ่งแยกชนชั้น การเหยียดชาติพันธุ์ และประเด็นเรื่องเพศ ได้อย่างกลมกล่อมโดยไม่ไปรบกวนเส้นเรื่องหลัก หลายครั้งเราก็เลือกดูหนังจาก ดารา, ผกก. แต่ครั้งนี้ตัดสินใจดู
จาก มือเขียนบท…. Taylor Sheridan ที่เราชื่นชมจากบทหนังสุดเข้มข้น ใน Sicario และหนังที่ตีแผ่การดิ้นรนสู้ชีวิตในดินแดนชายขอบอย่าง Hell or High Water จนมาเขียนบทและกำกับเองใน Wind River ที่เจ้าตัวดูจะถนัดกับการเล่าเรื่องในแดนห่างไกลความศิวิไลซ์ และมักจะแฝงแง่คิดให้คนดูอยู่เสมอ
อันที่จริงต้องบอกว่า Wind River มีสไตล์การเดินเรื่องที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับผู้ชมทั่วไปมาก ๆ เราว่าเชอริแดนมีความเก่งอย่างหนึ่งคือเขาฉลาดสอดแทรกสาระที่ตัวเองอยากนำเสนอลงไปในหนังที่ไม่แอ็คอาร์ทให้ดูยาก อย่าง Sicario ก็ใช้แอ็คชั่นนำเรื่อง, Hell or High Water ก็มาในโทนหนังปล้น, และ Wind River เองก็มาในโทนหนังสืบสวนที่ออกมาเป็นทริลเลอร์สุดเยือกเย็นค่อยเป็นค่อยไปก่อนจะทำดาเมจรุนแรงในฉากไคลแม็กซ์ที่มีทั้งจังหวะสะเทือนอารมณ์และเดือดสุดขีดในโมเม้นต์ที่ห่างกันเพียงไม่กี่นาที อันนี้อาจจะต้องกล่าวชมระหว่างทางที่สามารถดำเนินเรื่องสร้างเงื่อนงำสะสมมาเรื่อย ๆ ก่อนจะระเบิดออกมาในท้ายที่สุด
มันเป็นลักษณะของหนังนักสืบที่คุมโทนหนังให้เข้ากับบรรยากาศหนาวสุดขั้วได้ชวนกดดันมาก ๆ แถมยังพยายามทำให้ดูมีความสมจริงน่าเชื่อถือมากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของการสื่อประเด็นไฮไลท์ตอนจบอีกด้วย ถือว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อยเหมือนกันที่ความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นในถิ่นชาวอินเดียนแดงจะเป็นฝีมือของคนขาว ซึ่งหนังนำเสนอมูลเหตุจูงใจที่เกิดขึ้นได้เพียงเพราะดินแดนหิมะไกลปืนเที่ยงแห่งนี้เต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นไร้ความบันเทิง แต่ก็อย่างที่หนังบอกว่ามันเป็นข้ออ้างของคนเลวเท่านั้นเพราะชาวอินเดียนแดงเขาก็อยู่แบบนี้กันมาตั้งนาน กลายเป็นว่าชนวนเล็ก ๆ จากการเข้ามาของคนต่างถิ่น (คนขาวมาทำงานเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยแท่นขุดเจาะน้ำมัน)
ได้ก่อให้เกิดเรื่องเลวร้าย ซึ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือที่อเมริกาไม่เคยมีการบันทึกสถิติการหายตัวไปของหญิงสาวชาวอินเดียนแดง ยิ่งเป็นการตอกย้ำสถานะชนชั้นสอง(หรืออาจจะสาม)ของชนเผ่าพื้นเมืองเข้าไปอีก ที่ชอบอีกอย่างคือจังหวะไคลแม็กซ์ของหนังตัดเข้าแฟลชแบ็กได้เนียนมาก จากฉากสะเทือนอารมณ์กลายมาเป็นเดือดสุดขีดในพริบตา เจ๋งจริง
ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
นักแสดงเล่นดีมากๆ ‘Jeremy Renner’ ได้บทที่ดีที่สุดอีกครั้งหลังเคยเข้าชิงออสการ์จาก The Hurt Locker เรื่องนี้เล่นเป็นพรานผู้ล่าได้แบบดุดันขึงขัง เล่นน้อยแต่ส่งมาก (ดูเท่กว่าตอนเล่นเป็น Hawkeye อีก) ส่วน ‘Elizabeth Olsen’ ก็ถ่ายทอดบทเจ้าหน้าที่ๆดูจะอ่อนโลกแต่ค่อยๆพัฒนาตัวละครจนเติบใหญ่ในตอนท้ายได้ดีเหมือนกัน ก็เป็นหนังดีที่ไม่ค่อยมีคนดูตามคาด แต่ใครเบื่อหนังตลาดก็อยากให้ลองไปดู หนังเล่าเรื่องเฉียบคม ฉากแอ็คชั่นมีน้อยแต่ก็มาแบบดุดันไม่ปราณีปราศรัย ความหนาวเหน็บในหนังส่งมาถึงคนดู (และรายได้หนัง) เลยทีเดียว… ส่วนตัวให้เป็นหนึ่งใน 10 หนังยอดเยี่ยมของปีนี้ รีวิวหนังบู้
ภาพยนตร์เรื่อง Wind River ล่าเดือด เลือดเย็น นั้นเป็นหนังที่มีรางวัลการันตี ถูกจัดได้ว่าเป็นหนังดีที่น่าดูเรื่องหนึ่งในสายตาของนักวิจารณ์ แต่ในวันที่เราไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งโรงภาพยนตร์กลับมีเราเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่หนังเรื่องนี้ยังเข้ามาได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ด้วยซ้ำไป ทำให้ย้อนกลับมาคิดว่า จริงๆ แล้วคนดูต้องการอะไรจากการชมภาพยนตร์กันแน่ บางทีผู้ชมอาจจะไม่ต้องการอะไรที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน หรือดูฉลาดล้ำลึกมากมาย แต่เป็นภาพยนตร์ที่สามารถสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้จากคืนวันที่อ่อนล้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม Wind River ล่าเดือด เลือดเย็น เป็นหนังที่มีความเครียดพอประมาณ เพราะเป็นการตามล่าคนฆ่าสาวอนเดียนแดง แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอต้องเจอเรื่องแย่ๆ แค่ไหน ถึงต้องวิ่งเท้าเปล่าฝ่าทุ่งหิมะที่ตกหนักมาไกลกว่า 6 ไมล์ จนปอดเป็นน้ำแข็งจากอากาศที่หนาวเย็น จากนั้นก็เริ่มฉีก และสำลักเลือดจนตายนั่นเอง โดยสาเหตุที่เธอต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแบบนี้ เป็นเพราะว่าเพื่อนของแฟนเธอได้รุมข่มขืนเธอนั่นเอง แฟนเธอพยายามช่วยเธอไว้ เธอทำได้แต่เพียงวิ่งหนีออกมาในขณะที่เขาโดนซ้อม
หนังสะท้อนให้เราเห็นความจริงอีกด้านของมนุษย์ ความต้องการด้านมืดที่ซ่อนเร้นและหลับใหลอยู่ภายใน เมื่อมันถูกกระตุ้น สัญชาตญาณดิบเหล่านั้นอาจถูกปลุกขึ้น และเปลี่ยนคนธรรมดาให้ชั่วร้ายได้อย่างไม่คาดคิด ทุกคนต่างก็อยากจะมีความสุข แต่ในบางครั้ง ชีวิตก็ไม่ได้เป็นอยากที่เราอยากจะให้เป็นสักเท่าไหร่ ก็ต้องหาวิธีต้องการป้องกันตัวไปตามระดับความสามารถของตัวเอง บางคนอาจจะกลายเป็นเหยื่อ บางคนอาจจะกลายเป็นผู้ล่า เหมือนอย่างที่ในหนังเรื่องนี้บอกว่า หมาป่าไม่ได้จับลูกแกะที่โชคร้าย แต่มันกินลูกแกะที่อ่อนแอ และแน่นอนว่าถ้าไม่อยากให้หมาป่ามาทำร้ายฝูงแกะที่เรารัก ก็ต้องออกล่าหมาป่า ไม่ให้มันมาทำร้ายฝูงแกะของเราได้อีก
ถ้าจะให้พูดถึงอารมณ์ของนักแสดง เราบอกได้เลยว่าสีหน้าและแววตานั้นแสดงออกมาได้ชัดเจน แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราว่าบรรยากาศความอึมครึมของเรื่องมันครอบงำไปเสียหมดแล้วล่ะ ในส่วนของบทนั้น มีการเรียงลำดับเรื่องใหม่ไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริง เราก็จะขอข้ามถึงประเด็นนี้ไป เพลงไม่หนักไม่เบาจนเกินไป แต่เสียงเครื่องยนต์ของรถสกีหิมะนี่ยังดังหึ่งๆ อยู่ในหูจนถึงทุกวันนี้ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นหนังดี แต่คนดูจะชอบรึเปล่านี่อีกเรื่องนะ